สสส.ประสบความสำเร็จสร้างกิจกรรมโรงพยาบาลต้นแบบ 4 ภาค

สสส.ประสบความสำเร็จสร้างกิจกรรมโรงพยาบาลต้นแบบ 4 ภาค

วันเสาร์ ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

สสส.เปิดตัวโรงพยาบาลต้นแบบสร้างเสริมสุขภาพ 4 ภาค “รพ.รามาธิบดี-รพ.สุราษฎร์ธานี-รพ.พะเยา-รพ.สุรินทร์” ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม เผยช่วย 4 ลด “ลดการเกิดโรค-ลดภาวะแทรกซ้อน-ลดการตาย-ลดภาระค่าใช้จ่าย ในกลุ่มโรควิถีชีวิต ความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมอง และไตเรื้อรัง เตรียมขยายโรงพยาบาลต้นแบบอีก 12 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2561

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ณ อาคารเฉลิมพระบารมี  50 ปี ซอยศูนย์วิจัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดงานแถลงข่าว “ความสำเร็จในการจัดกิจกรรมโรงพยาบาลต้นแบบสร้างเสริมสุขภาพด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม 4 ภาค” โดย ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า สสส.ได้ผลักดันการลดการบริโภคอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในโรงพยาบาล จึงได้จัดโครงการ “พัฒนาต้นแบบโรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพในด้านการจัดบริการอาหารสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม” เน้นกลุ่มเป้าหมายทั้งประชาชนที่มารับบริการในโรงพยาบาลและบุคลากรโรงพยาบาล เพื่อสร้างเสริมสุขภาพต้นแบบ ในการลหวาน มัน เค็ม ที่เกิดจากการสร้างพลังและการมีส่วนร่วมของบุคลากรในโรงพยาบาลและชุมชน ประกอบด้วยโรงพยาบาลต้นแบบ จำนวน 4 แห่ง แบ่งเป็น 4 ภาค ได้แก่ โรงพยาบาลรามาธิบดี (ภาคกลาง) โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี (ภาคใต้) โรงพยาบาลพะเยา (ภาคเหนือ) และโรงพยาบาลสุรินทร์ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กำหนดเป็นเป้าหมายหลักในการพัฒนาลดปัญหาโรควิถีชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมอง และไตเรื้อรัง ใน 4 ด้าน คือ ลดการเกิดโรค ลดภาวะแทรกซ้อน ลดการตาย ลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในปีหน้าจะเพิ่มเติมโรงพยาบาลต้นแบบอีกจำนวน 12 แห่งทั่วประเทศ


ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ บริโภคอาหารที่ไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย ขาดการออกกำลังกายและมีภาวะเครียดจนส่งผลต่อสุขภาพ เป็นความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในหลายๆ โรค โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต โรคมะเร็ง เบาหวานและความดัน ซึ่งกำลังเป็นภาวะวิกฤติระดับโลก (Global Crisis) โครงการดังกล่าวได้วางกรอบการทำงานแบ่งเป็น 4 ภาค จำนวน 4 โรงพยาบาลนำร่องขึ้นในปีนี้ โดยเริ่มต้นของการทำงานจะต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลต้นแบบทั้ง 4 แห่งก่อนแยกเป็นกลุ่มที่ 1 ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักวิชาการและเจ้าหน้าที่ทั่วไป กลุ่มที่ 2 ได้แก่ ผู้ปรุงอาหาร โภชนากร แม่ครัวในกลุ่มงานโภชนาการ และกลุ่มแม่ครัวร้านสวัสดิการโรงพยาบาล โดยทุกกลุ่มจะต้องร่วมกันวางแผนกับนักโภชนาการ ว่าทำอย่างไรจะต้องลดความหวาน มันเค็ม ลง แต่รสชาติของอาหารจะยังคงเหมือนเดิม จึงใช้วิธีการปรับสูตรอาหาร การฝึกอบรมแม่ครัวประจำร้านค้าในโรงพยาบาล และมีการฝึกอบรมในเชิงปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง มีนักโภชนาการคอยดูแล และให้คำปรึกษา

“โจทย์ คือ ร้านค้าแต่ละร้าน จะต้องสร้างเมนูเพื่อสุขภาพขึ้นมา 1 ชนิด ตามหลักโภชนาการลดความหวาน มัน เค็ม โดยเรียกว่า “1 ร้าน 1 เมนูสุขภาพ” ซึ่งผลตอบรับจากประชาชนที่มารับประทานอาหารที่โรงพยาบาลนั้นดีมากๆ แถมมีการลดราคาค่าอาหารให้ด้วย ถ้าสั่งเมนูเพื่อสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม จะลดราคาให้ 2 บาท ทำให้ประชาชนผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น”

ผศ.นพ.สุรศักดิ์กล่าวต่อว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงในประชากรอายุ 15 ขึ้นไป สูงขึ้นมาก มีอัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวาย เพิ่มขึ้น โครงการนี้ได้เข้ามามีส่วนสร้างระบบการจัดการบริการอาหารสุขภาพ ลดหวาน มัน เค็ม สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกบริโภคอาหารสุขภาพ รณรงค์สร้างกระแสให้ประชาชนรับรู้ ให้หันมาเลือกบริโภคอาหารสุขภาพลดหวาน มัน เค็ม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงอาหารสุขภาพ และสามารถเป็นแบบอย่างให้กับโรงพยาบาลและสถานบริการของรัฐอื่นๆ ต่อไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top