สัปดาห์ก่อนเราทราบถึงสาเหตุของการคันกันไปแล้ว สัปดาห์นี้เรามารู้ว่าเราควรเตรียมข้อมูลอะไรให้สัตวแพทย์เพื่อช่วยให้การวินิจฉัยและรักษามีประสิทธิภาพที่สุดกันครับ
● เจ้าของสัตว์ควรเตรียมข้อมูลอะไรให้สัตวแพทย์บ้าง เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการรักษามากที่สุด
สิ่งที่มีความจำเป็นที่เจ้าของต้องเตรียมเพื่อเป็นข้อมูลแก่สัตวแพทย์ ได้แก่
- สุนัขเริ่มมีอาการคันตั้งแต่เมื่อไหร่?
- เริ่มคันต่อเนื่องนานแค่ไหน?
- คันบริเวณส่วนใดของร่างกาย?
- พ่อแม่หรือพี่น้องครอกเดียวกันนี้มีปัญหาผิวหนังแบบเดียวกันหรือไม่?
- ตัวอื่นในบ้านที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องมีอาการเหมือนกันหรือไม่?
- สัตว์อื่นนอกบ้านมีปัญหานี้หรือไม่?
- รวมถึงสัตว์เลี้ยงของเราเคยไปสัมผัสสัตว์เหล่านั้นหรือไม่?
- สุนัขเคยได้รับการตรวจหรือรักษามาก่อนหรือไม่?
- เคยรักษามาแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?
- ผลการรักษาเป็นอย่างไร?
- ตอบสนองต่อการรักษาหรือไม่ อย่างไร?
● การตรวจวินิจฉัยทำได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัย จะทำเพื่อหา “สาเหตุ” ของการคันที่แท้จริงซึ่งมีหลายวิธี เริ่มตั้งแต่ “การสังเกตที่ตัวสัตว์” ว่าผิวหนังมีความผิดปกติที่ตำแหน่งใด พบพยาธิภายนอก เช่น เห็บ หมัด เหาหรือไม่ จากนั้นอาจทำการ “การขูดตรวจผิวหนัง” เพื่อตรวจหาไรขี้เรื้อน หรือ “การเก็บตัวอย่างสะเก็ดผิวหนัง” จากบริเวณที่มีรอยโรคเพื่อนำไปย้อมสีเพื่อตรวจทางเซลล์วิทยา หาแบคทีเรีย ยีสต์ หรือทำการเพาะเชื้อรา รวมถึงอาจทำการ “ทดสอบการแพ้อาหาร” และ”การทดสอบการภูมิแพ้ทางผิวหนัง” (allergy skin test) เป็นต้น
● การรักษาทำอย่างไร
การรักษาทางยา มักจะรักษาที่สาเหตุ และรักษาตามอาการ โดยยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังนั้น อาจอยู่ในรูปแบบของ ยากิน ยาฉีด ยาทา ที่มีลักษณะเป็นครีม/ขี้ผึ้ง ยาสำหรับแช่ตัวสัตว์ แล้วแต่กรณี ซึ่งรวมไปถึงแชมพูรักษาผิวหนังที่ใช้ก็มีความสำคัญ เช่น แชมพูกำจัดเห็บ-หมัด แชมพูฆ่าเชื้อรา/ยีสต์/แบคทีเรีย หรือแชมพูที่ช่วยลดการระคายเคืองผิวหนัง
ซึ่งตัวยาหลักๆ ที่ใช้ ได้แก่
- กลุ่มยาลดอาการคัน ได้แก่ ยาแก้แพ้ (antihistamine) และกลุ่มสเตียรอยด์ (ซึ่งเป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงสูงมาก ต้องใช้ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์) เพื่อบรรเทาอาการคัน แต่ที่สำคัญต้องหาสาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้สุนัขคัน และใช้ยาให้ตรงจุดเช่น หากพบว่าเกิดจากพยาธิภายนอก เช่นหมัด และการแพ้น้ำลายหมัด รวมถึงไรขี้เรื้อน ก็จะให้ยาฆ่าปรสิตภายนอก
- ยาปฏิชีวนะ หากพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ยาฆ่าเชื้อราและยีสต์ หากพบเชื้อยีสต์และรา
หากมีการแพ้อาหาร ก็ใช้การเปลี่ยนชนิดอาหาร ส่วนกรณีที่แพ้สิ่งแวดล้อม เช่นแพ้ฝุ่น ละอองเกสร หรือผงปูน การแก้ไขที่ดีที่สุดคือต้องพยายาม “หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดการแพ้” นั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะทำไม่ได้ สัตวแพทย์จึงต้องให้การควบคุมโดยการใช้ยา
โดยหลักการแล้ว สัตวแพทย์จะพยายามใช้ยาในปริมาณที่น้อยที่สุด แต่ต้องสามารถควบคุมอาการคันได้ผล ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในสัตว์แต่ละตัว นอกจากนี้ การใช้แชมพูยาเพื่อประกอบการรักษา ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาดีขึ้น
● ระยะเวลาในการรักษานานแค่ไหน
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคผิวหนังจะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน ประมาณตั้งแต่ 2 สัปดาห์ ไปจนถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับอาการ สาเหตุ และการตอบสนองต่อการรักษา ดังนั้นเจ้าของสัตว์ต้องเตรียมใจไว้เลยว่า ต้องใช้เวลาในการรักษานานพอสมควร ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและวินัยในการให้ยา
สิ่งที่สำคัญในการการรักษาโรคผิวหนังนั้น คือการวินิจฉัยให้ทราบถึงสาเหตุ “ที่แท้จริง” ของการเกิดโรค และการใช้ยาหรือเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่เหมาะสมและตรงกับโรค เนื่องจากอาการที่สัตว์แสดงนั้นอาจคล้ายกัน แต่เกิดจากคนละสาเหตุ การรักษาจึงแตกต่างกัน ดังนั้น การพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการช่วย จึงน่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดครับ อย่ารอหรือลองรักษาเองจนทำให้มีอาการมากจนเกินจะเยียวยานะครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี