บัดนี้ ดูเหมือนจำเป็นที่ผู้เขียนจะต้องขอตั้งซีรี่ส์ชุดบทความเรื่อง “เราต้องเคารพตนเองก่อนที่ผู้อื่นจะเคารพเรา” เป็นกิจจะลักษณะในหนังสือพิมพ์แนวหน้า เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการทูตการกงสุลของไทยเป็นระยะๆ เพราะมีความเข้าใจผิดหลงผิดเกี่ยวกับการต่างประเทศอีกแล้ว ล่าสุดคือการที่นายพิพัฒน์ รัชกิจประการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอให้ยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวอินเดียเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย นัยว่า เพื่อแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวแนวคิดของเขาคือ ต้องดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาในไทย
ที่จริง รัฐมนตรีผู้นี้เพิ่งผลักดันเรื่องการขอยกเว้นวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวสองชาตินี้เมื่อเดือนสิงหาคม ปีกลาย แต่คณะรัฐมนตรีไม่เห็นด้วย แต่ก็ยังเมตตาอนุโลมให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ช่องทางอนุญาตระหว่างประเทศเมื่อเดินทางถึง (Visa on Arrival: VoA) เป็นเวลาหกเดือนจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบกรณีวีซ่าประเภทนี้คือด่านตรวจคนเข้าเมือง ผู้เขียนเคยให้ความเห็นว่า ไม่ควรอนุญาตให้มีการยกเว้นวีซ่าในบทความชื่อเดียวกัน คือ “เราต้องเคารพตนเอง ก่อนที่ผู้อื่นจะเคารพเรา”ตอนที่ 1 และ 2 เมื่อวันที่ 8 และ15 กันยายน 2562 ตามลำดับ ซึ่งผู้สนใจอาจสืบค้นได้จากเว็บไซต์ www.naewna.com ได้
ครั้งนี้ ออกตัวเร็วตั้งแต่ต้นปี 2563 เพราะมีตัวเร่ง 2-3 ประการมาตั้งแต่ต้นปี หนึ่งคือ ค่าเงินบาทแข็งมากเป็นเช่นนี้มากว่าห้าปี อ้างเงื่อนไขนี้จะมีกองเชียร์ เห็นด้วยว่าต้องทำอะไรด่วน สองคือ มาเลเซียออกโปรโมชั่นยกเว้นวีซ่าแก่คนจีนและคนอินเดีย เข้าประเทศได้เป็นเวลา 14 วันในระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2563 โดยเสนอมาตรการเซฟการ์ดคัดกรองโดยก่อนออกเดินทาง ให้นักท่องเที่ยวจดแจ้งลงทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้า (electronicpre-registration system) พร้อมยื่นหลักฐานเกี่ยวกับการเดินทางการพำนักอาศัย เมื่อไปตรวจดูรายละเอียด มาเลเซียยกเว้นวีซ่าก็จริง แต่ไปคิดค่าธรรมเนียมการจดแจ้งลงทะเบียนทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเงิน 100 ริงกิต (อัตรา1 ริงกิต : 7.30 บาท) ซึ่งแพงกว่าค่าวีซ่า คือ 30 ริงกิต เสียอีก เป็นที่ทราบกันว่า ณ ขณะนี้มาเลเซียมีค่าของเงินอ่อนมาก เขาจึงอยากส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งคนที่มีการศึกษามีความคิดย่อมคิดได้ไม่ยากว่า ค่าเงินถูก คนก็ย่อมอยากไปท่องเที่ยว ประเทศใดค่าเงินแข็งคือแพง ใครจะโง่ไป ต้องให้ประเทศที่มีค่าเงินแข็งนั้น แก้ไขปัญหาค่าของเงินให้อ่อนตัวยืดหยุ่นสอดคล้องความเป็นจริงก่อน
นอกจากนี้ เมื่อกลางเดือนธันวาคมปีกลาย เวียดนามก็มีโปรโมชั่น คือ ประกาศยกเว้นวีซ่าแก่บุคคลสัญชาติรัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ประเทศสแกนดิเนเวีย สี่ประเทศและเบลารุส เพื่อให้เดินทางเข้าเวียดนามเพื่อการท่องเที่ยวได้เป็นเวลา 15 วัน ในช่วงเวลา 3 ปี (แท้จริงแล้ว ต่ออายุโปรโมชั่นเดิมซึ่งใช้มาห้าปีและจบลงเมื่อสิ้นปี 2562) ซึ่งไทยทำเองก็ทำมานานแล้ว คือ เรามีความตกลงยกเว้นวีซ่าหนังสือเดินทางธรรมดากับรัสเซีย ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2548 สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐนตรีในขณะนั้น และไทยมีนโยบายให้การผ่อนผันเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว คือ ผ่อนผัน หรือ ผ. 30 กับประเทศตะวันตกคือ ที่เหลือเหล่านั้นยกเว้นเบลารุสซึ่งเกิดใหม่ การนี้แม้นมิใช่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เวียดนามซึ่งมีศักยภาพเป็นคู่แข่งรายสำคัญด้านการท่องเที่ยวก็อาจถูกมองว่าจะดึงนักท่องเที่ยวจากรัสเซียและประเทศเหล่านี้และอื่นๆ ไปจากไทย เพราะเวียดนามมีศักยภาพในการแข่งขันสูง สรุปคือเป็นเหตุให้ระแวงกังวลว่าแย่งนักท่องเที่ยวไปได้ อย่างไรก็ดี เวียดนามมีนโยบายชัดเจนไม่ยกเว้นวีซ่ากับจีนเนื่องจากเหตุผลความสัมพันธ์ทางการทูตและความมั่นคงแห่งชาติ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอให้ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการจะให้การยกเว้นวีซ่าแก่ประเทศที่มีจำนวนประชากรมหาศาล เช่น จีนและอินเดีย ดังนี้
คนส่วนใหญ่นึกถึงจีนและอินเดีย เพราะมีประชากรมากถึง 1,400 และ 1,200 ล้านคน ตามลำดับ ตามสถิติที่ทราบมาคนจีนไปต่างประเทศจำนวนประมาณ 200 ล้านคน ในแต่ละปี คนอินเดียจำนวนประมาณ 27.9 ล้านคน/ปี (บางแหล่งข่าวของตะวันตกประมาณว่า ตัวเลขสูงกว่านั้นและจะสูงขึ้นเป็น 50 ล้านคนในปี 2563) ปีกลายคนจีนมาไทยจำนวน 11 ล้านคน(เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปี 2561) ปีกลายคนอินเดียมาไทยจำนวน 1.9 ล้านคน(เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากปี 2561)
หลายๆ ประเทศพยายามจัดกิจกรรมต้อนรับคนจีนให้ตรงกับเทศกาลตามประเพณีที่เขาจะไปพักผ่อนในต่างประเทศแต่เมื่อปีกลาย พบว่า มีการเดินทางไปต่างประเทศน้อยลง เนื่องจาก 1) เศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาวะชะงักงันชะลอตัว กระทบทุกประเทศ 2) ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน กระทบต่อการผลิตการส่งออก ความมั่นคงในอาชีพ แม้นไม่มีการตอบโต้รุนแรง แต่ไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศ
3) เงินสกุลหยวนอ่อนค่าลง การเดินทางไปต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ยิ่งเดินทางไปประเทศเป้าหมายที่มีค่าของเงินแข็งมาก ก็ยิ่งทำให้มีความสิ้นเปลือง
เพิ่มขึ้น แนวโน้มจึงจะหลีกเลี่ยง เพราะท่องเที่ยวไม่สนุกแน่นอน 4) กรณีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยเมื่อปีกลาย มีการเพิ่มจำนวนเพียงร้อยละ 4 ซึ่งไม่มากนัก ก็สืบเนื่องจากสามเหตุผลแรกนั้นบวกกับข่าวคราวขวัญกำลังใจนักท่องเที่ยวถดถอยลงเนื่องจากปัญหาอุบัติเหตุทางน้ำชาวจีนเสียชีวิตจากเรือฟีนิกส์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตมากถึง 47 คน ซึ่งเหตุการณ์ทัวร์สยองนี้ทำให้คนจีนขาดความมั่นใจในการท่องเที่ยวในไทย ร้อนถึงผู้บริหารการท่องเที่ยวต้องพยายามหามาตรการส่งเสริม ซึ่งนำไปสู่การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นเวลาห้วงสั้นๆ กระทั่งถึงปัจจุบัน
3.ผู้คุ้นเคยกับการท่องเที่ยวจากจีนจะพอใจกับสถิติยอดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยมากถึง 11 ล้านคน เพราะเป็นเสมือนตัวชี้วัดความสำเร็จ โดยกล่าวว่าสร้างรายได้แก่ไทยมากถึง 5.5 แสนล้านบาท โดยพยายามจะคงมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า VoA ที่ช่องทางอนุญาตไว้ หรือหากทำได้ก็ยกเว้นวีซ่าไปเลย สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็อาจบอกว่า ดีเลย เพราะที่ผ่านมาออกวีซ่าตนทำแทนกระทรวงการต่างประเทศทำบันทึกการเข้าออก เหนื่อยฟรี เพราะมิได้รับค่าธรรมเนียม อีกทั้งหน่วยงานถูกเพ่งเล็งหากมีเจ้าหน้าที่บางคนหาเศษหาเลยที่ด่านเรียกเก็บส่วยเป็นที่ขบขันแก่สื่อมวลชนเวลารายงานข่าวว่า ไม่มีค่าวีซ่าแต่ยังต้องเสียเงินอยู่ดี
การนี้ น่าสงสัยว่าประเทศไทยจะได้รับรายได้มากเพียงไรจากการท่องเที่ยวของคนจีน เพราะเป็นธรรมเนียมการปฏิบัติที่นักท่องเที่ยวชาวจีนชำระค่าใช้จ่ายในการบินเหมาลำมาท่องเที่ยวในไทยและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ล่วงหน้ากับบริษัททัวร์ในจีนก่อนออกเดินทาง กล่าวคือ บิน-กิน-อยู่-เที่ยว-ทัวร์ไกด์–ช้อปในโรงแรม-ภัตตาคาร-ร้านค้าและบริการแพ็กเกจทัวร์กับบริษัทจีนในเครือข่าย และมิได้จ่ายอะไรเพิ่มเติมนักระหว่างการพำนักในไทยหรือในต่างประเทศ หรือที่เรียกกันว่า เป็น “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” คือมิได้เงิน จึงชวนให้น่าคิดว่า น่าจะต้องทำการศึกษา ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ การเก็บภาษี มิใช่โมเมเป็นเศรษฐกิจเหมาเข่ง แต่ไม่มีเม็ดเงินอยู่ในมือ หากทำการศึกษาได้ ก็จะทราบชัดเจนขึ้นว่า นักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งนักท่องเที่ยวอินเดียด้วย สร้างรายได้แก่เศรษฐกิจไทย ประชาชนไทยจริงหรือและเท่าไร และรายได้อยู่ที่ใคร ภาคธุรกิจเอกชนด้านการท่องเที่ยวของไทยที่พัทยาย่อมรู้ดี
4. การพิจารณาให้วีซ่าและเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่าเป็นเรื่องปกติวิสัยในการติดต่อทางการทูตการกงสุล เพราะหมายถึงการอนุญาต การยกเว้นจะต้องปฏิบัติต่างตอบแทน หรือจำเป็นอย่างยิ่งหากให้ฝ่ายเดียว ค่าธรรมเนียมที่ไทยเรียกเก็บก็อยู่ในอัตราต่ำมาก คือ 1,000 บาท/คน/ครั้ง ส่วนที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขอขึ้นค่าธรรมเนียมออกวีซ่าเป็น 2,000 บาท/คน/ครั้ง นั้น เป็นไปตามคำร้องขอของหน่วยงานนั้นเอง คนไทยไปจีนก็ยังต้องเสียค่าธรรมเนียม ไปยุโรปด้วยวีซ่าเชงเก้นอัตราใหม่แพงกว่าเดิม ก็ยังพร้อมจะเสีย แต่ในกรณีไทย-จีน ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอให้ยกเว้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ก็น่าสงสัยว่า หากไม่ต้องยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าประเภทท่องเที่ยว คือ หนึ่งพันบาท หรือ วีซ่า VoAคือ สองพันบาท/คน/ครั้ง รายได้ที่สถานทูตสถานกงสุล และด่านตรวจคนเข้าเมืองจะรวบรวมส่งให้แก่แผ่นดินจะมีจำนวนมากสักเพียงไร รัฐบาลก็สามารถนำเอารายได้นี้ไปพัฒนาปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว สถานบริการ สิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัย และระบบการตรวจคนเข้าเมืองการบันทึกการเข้าเมืองและการติดตามผู้อยู่เกินกำหนดให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้อย่างมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อราชการและความมั่นคงแห่งชาติ ในด้านลักลอบทำงาน ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ฟอกเงิน ตั้งแก๊งค์อิทธิพลรีดไถคนชาติตนเองในไทย เป็นต้น
5. อนึ่ง หากเริ่มต้นดีและทำไปได้ดีจริง มาเลเซียจะเป็นประเทศแรกๆในอาเซียนที่ดำเนินการยกเว้นวีซ่าแก่คนสัญชาติจีน เพราะมีประเทศจำนวนไม่มากนักที่ยกเว้นวีซ่าให้แก่คนจีน แม้นอดีตสหายสังคมนิยมเช่นรัสเซียและเวียดนามก็ยังมิได้มีความตกลงยกเว้นวีซ่าให้ส่วนอินเดีย นั้น จากแหล่งข่าวทางการทูตพบว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียนที่มีความตกลงยกเว้นวีซ่าหนังสือเดินทางธรรมดากับอินเดีย เพื่อการท่องเที่ยว เป็นระยะเวลา 30 วัน แต่มีอีกหลักฐานรอยืนยันว่า อีกประเทศคือมาเลเซีย
กรณีจีน จีนทำความตกลงยกเว้นวีซ่าหรือมีการประกาศยกเว้นวีซ่าในจำนวน 71 ประเทศ อยู่ในอันดับ 72 ของรายชื่อประเทศที่มีอันดับหนังสือเดินทางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกประจำปี 2563 (ส่วนอินเดียไม่ถูกระบุในข่าว ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 65 เข้าได้ 78 ประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่า) ซึ่งการจัดอันดับสะท้อนถึงการได้รับการยอมรับในหมู่ประเทศต่างๆ ซึ่งญี่ปุ่นยังครองแชมป์ประเทศที่หนังสือเดินทางได้รับการยอมรับเป็นอันดับ 1 เข้าประเทศต่างๆ ได้ 191 ประเทศ จากเกือบ200 ประเทศ ไม่ต้องมีวีซ่า ตามด้วยสิงคโปร์อันดับ 2 เข้าได้ 190 ประเทศ ส่วนคนชาวฮ่องกงและไต้หวัน เข้าได้ 169 และ 146 ประเทศ อยู่ในอันดับ 20 และ 32 ตามลำดับ ซึ่งนับว่าได้รับการยอมรับเหนือจีนแผ่นดินใหญ่อย่างชัดเจน
ในตอนต่อไป ผู้เขียนจะกล่าวถึงสาเหตุที่จีนได้รับการยอมรับจากนานาประเทศน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ข้อเท็จจริงที่ควรทราบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน, ข้อพึงพิจารณาในการส่งเสริมการท่องเที่ยวท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนการเสนอให้มีการยกเว้นวีซ่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ขณะที่มีปัญหาค่าเงินบาทแข็งว่า เป็นการเกาถูกที่คันหรือไม่
(คมกริช วรคามิน เคยดำรง ตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ โรมาเนีย และมีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐบัลแกเรีย)
คมกริช วรคามิน
(อ่านต่อฉบับวันพรุ่งนี้)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี