ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยแม้จะมีเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ความไม่เท่าเทียมกันในสังคมยังคงมีอยู่ ความเจริญทางเศรษฐกิจไม่ได้ถูกส่งไปยังเด็กทุกคนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กยากจน เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ เด็กอพยพ เด็กผู้ลี้ภัย และเด็กพิการ เด็กเหล่านี้ยังคงขาดสิทธิพื้นฐานต่างๆ ที่พึงมีในการอยู่รอด การได้รับความคุ้มครอง และการพัฒนา ทำให้มีหลายองค์กรเห็นความสำคัญและยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ได้เริ่มให้ความช่วยเหลือเด็กในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2491 เพื่อให้ความช่วยเหลือเด็กในด้านต่างๆ เช่น สุขภาพ โภชนาการ การศึกษา ระบบน้ำและสุขาภิบาล การคุ้มครองเด็กจากความรุนแรง การถูกทำร้ายและการถูกแสวงหาประโยชน์ และเอชไอวี/เอดส์ เงินทุนทั้งหมดของยูนิเซฟได้มาจากการบริจาคจากบุคคลทั่วไป รวมทั้งจากภาคธุรกิจ องค์กรต่างๆ รัฐบาล และประชาชนทั่วไป
ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน ทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย
ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน ในฐานะทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในอดีตองค์การยูนิเซฟมีงบประมาณค่อนข้างมาก จากการได้รับการบริจาคจากสมาชิกประเทศต่างๆ ในโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย กลุ่ม EU หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น เด็กที่ต้องการการช่วยเหลือดูแลก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันประเทศต่างๆ ก็พยายามจะดูแลเด็กของตัวเอง ทำให้รายได้ขององค์การยูนิเซฟ มีจำกัด ดังนั้น เงินที่ได้รับจากการบริจาคจำเป็นต้องแบ่งปันไปยังประเทศที่มีความจำเป็นมากกว่า
“ประเทศไทยโชคดีที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงติดต่อกันมานับ 10 ปีทำให้ได้รับการดูแลหรือช่วยเหลือจากยูนิเซฟน้อยลง แต่เด็กที่ต้องการความช่วยเหลือยังคงมีอยู่ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ยูนิเซฟประเทศไทยจึงมีความคิดว่าควรจะหาเงินทุนภายในประเทศด้วยตัวเอง โดยตลอดระยะเวลา 15-16 ปีที่ผมเข้ามารับตำแหน่งนี้ จำนวนเงินที่ได้รับการอุดหนุนจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ปีแรกประมาณ 28 ล้านบาทต่อปี ปีล่าสุดเกิน 400 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากที่เราสามารถจะทำงานร่วมมือกับหน่วยราชการ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย หรือองค์การภาคเอกชนต่างๆ ที่ช่วยดำเนินกิจกรรมที่เขาทำอยู่และต้องการเงินทุน
เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่าคนไทยมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือมนุษย์ ช่วยเหลือเด็กไทยมากกว่าในอดีต แทนที่จะใช้สุรุ่ยสุร่าย ก็ไปใช้อะไรที่เป็นประโยชน์แทน ปัจจุบันมีคนให้เงินบริจาคแก่ยูนิเซฟประเทศไทย เป็นประจำประมาณ 2-3 หมื่นคน ในขณะเดียวกันเราก็ได้ชักชวนบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงบริษัทต่างชาติ คนต่างชาติที่มีจิตใจช่วยเหลือ ยูนิเซฟเองก็ชักชวนให้กลุ่มธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลเด็กในเมืองไทยมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้ต้องการให้เขาให้เงินเราเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องการปลุกจิตอาสาคนในบริษัทนั้นๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมร่วมกับเราด้วย”
ด้าน มร.อลิสเตอร์ เทย์เลอร์กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด เผยว่า ในฐานะบริษัทค้าปลีกของคนไทยภายใต้การบริหารของ กลุ่มเซ็นทรัล บริษัทมีนโยบายในการช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจัง ด้วยปรัชญาในการสร้างความเท่าเทียมของบุคคล บริษัทจึงร่วมกับ องค์การยูนิเซฟประเทศไทย จัดกิจกรรมระดมทุนต่างๆ อาทิ การตั้งกล่องรับบริจาคภายในร้าน เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ซูเปอร์ และท็อปส์ เดลี่ ทั่วประเทศ เป็นเวลามากว่า 16 ปีแล้ว รวมเป็นเงินที่สมทบให้กับองค์การยูนิเซฟมากถึง 24 ล้านบาท โดยเงินบริจาคทั้งหมดได้มาจากลูกค้าทั้งคนไทยและคนต่างประเทศที่มาใช้บริการภายในร้าน และบางส่วนจากเป็นเงินสมทบจากบริษัทด้วย เพื่อให้ยูนิเซฟได้นำไปช่วยเหลือเด็กไทยผู้ด้อยโอกาส นอกเหนือจากการสมทบเงินบริจาคแล้ว การสื่อสารกับลูกค้า เพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ต่อกิจกรรมช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสของ ยูนิเซฟ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่บริษัทจะให้ความช่วยเหลือ
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญกับอนาคตของชาติ ลงทุนกับเด็กที่ขาดโอกาสเพื่อสร้างความเท่าเทียมและสิทธิ เพราะเด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับการพัฒนา และเป็นหน้าที่ของเราในฐานะพ่อ-แม่ ผู้ใหญ่ และในฐานะสมาชิกของสังคมนี้ที่จะต้องช่วยให้พวกเขาได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพของตน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี