สมเด็จพระปิยมหาราชของแผ่นดิน
ด้วยวันที่ 23 ตุลาคมทุกปี เป็นวันที่ปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดินมีพิธีถวายพวงมาลาเพื่อสักการะ “พระบรมรูปทรงม้า” หรือ พระปิยมหาราช หากนับวาระของพิธีนี้ซึ่งเริ่มใน พ.ศ.2454 มาถึงวันนี้แล้วเป็นเวลา 102 ปี อาทิตย์นี้ขอน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กษัตริย์ผู้เป็น พระปิยมหาราชของแผ่นดิน พระองค์ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ หรือสมเด็จพระเทพศิรินทราพระบรมราชินี
เมื่อพระชนมายุ 9 พรรษา ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ” ต่อมาเมื่อมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ” พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ทรงเป็นกษัตริย์และบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ด้วยเหตุที่มีพระชนมายุเพียง 16 พรรษา ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ จึงมอบให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ พระมหาอุปราช พระองค์ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาต่างๆ เช่น โบราณราช ประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม พร้อมกับได้เสด็จประพาสสิงคโปร์ ชวาและอินเดีย เพื่อทอดพระเนตรกิจการและแบบแผนการปกครองของชาวยุโรปที่ใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน ซึ่งต่อมาเป็นแนวทางการแก้ไขการปกครองแผ่นดินให้เหมาะสมกับกาลสมัย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานที่ใช้ยืนและนั่งตามโอกาสสมควร ไม่ต้องหมอบคลานอย่างแต่ก่อน
พระบรมสาทิสลักษณ์ที่มีแทบทุกบ้านในรัชกาลที่ 5
ครั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะแล้วได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์ซึ่งมีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2416 ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์ ตลอดระยะเวลาที่ครองสิริราชสมบัตินั้น พระองค์ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ ล้วนแต่เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ จนสามารถธำรงเอกราชมาจนทุกวันนี้
พระมหากรุณาธิคุณที่ยิ่งใหญ่นั้นเห็นได้จากพระราชกรณียกิจสำคัญคือ การเลิกทาส ให้ทุกคนเป็นอิสระภายใน 30 ปี เป็นพระราชกรณียกิจที่ทำให้พระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า “พระปิยมหาราช” การปฏิรูประบบราชการ มีการตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ก้าวก่ายกัน การสาธารณูปโภค มีกิจการรัฐวิสาหกิจสำคัญเกิดขึ้น เช่น การประปา การไฟฟ้า การคมนาคม การไปรษณีย์โทรเลข เป็นต้น การสาธารณสุขและการแพทย์ การสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรปแม้ประเทศฝรั่งเศสผู้รุกรานด้วย
เริ่มกิจการรถรางในพระนคร
พระองค์ทรงเลือกแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีจากดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงประเทศให้เจริญขึ้นดังเห็นได้จากการปฏิรูปการศึกษาโดยจัดตั้งกระทรวงธรรมการดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา การปกครองแผ่นดินและการป้องกันประเทศ การปฏิรูปการคลังและเงินตรา กิจการการแผนที่อาณาจักรตลอดจนอาคารสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยจากฝีมือช่างชาวต่างประเทศ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระปิยมหาราชที่มากพ้นสุดพรรณนาหาที่สุดไม่ได้นั้นทำให้ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงความจงรักภักดีที่สถิตในใจคนไทยทั้งแผ่นดิน
กิจการรถไฟหลวงไปสู่ภูมิภาค
ปฏิรูปการศึกษาสำหรับประชาชน
พระราชโอรสที่ส่งเรียนนอก
สภาที่ปรึกษาประชุมวางแผนการเลิกทาส
สร้างกิจการป้องกันประเทศ
ถนนถวายการสุขาภิบาลแห่งแรกที่ท่าฉลอม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี