“นิติรัฐ” หมายถึงสังคมที่ปกครองโดย “ยึดหลักกฎหมาย” มิใช่ตามอำเภอใจของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นมาตรฐานของการปกครองสมัยใหม่ ทว่าด้วยความที่ “กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น” ไม่ใช่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนรมิตมาให้ การออกกฎหมายจึงต้องทำอย่าง “รอบคอบ” หาไม่แล้วกฎที่ออกมาย่อมไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง อีกทั้งยังสร้างผลกระทบต่อประชาชนที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ดังเรื่องเล่าของ ดร.บัณฑูร เศรษฐ์ศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในเวทีสัมมนาวิชาการ “การสรรค์สร้างนักนิติศาสตร์รุ่นใหม่สู่สังคมไทยและสังคมโลก : นักกฎหมายที่ประเทศไทยต้องการ” ณ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่ง ดร.บัณฑูร เป็นผู้ที่ศึกษาปัญหา “คนกับป่า : ข้อขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ” มายาวนาน กล่าวว่า ทุกอย่างเริ่มต้นมาจาก “ผู้ใหญ่” ที่รับผิดชอบงานด้านป่าไม้ท่านหนึ่ง ใช้วิธี “กำหนดเขตป่าจากแผนที่โดยไม่ได้ลงไปดูพื้นที่จริง” จึงไม่ทราบว่าหลายจุดมี “ชุมชน” ตั้งรกรากอยู่ก่อน
“ท่านบอกว่าท่านเอาแผนที่มากางแล้วก็ขีดวงลงไปว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน ตรงไหนเป็นอุทยานแห่งชาติ เหตุผลคือตามกฎหมายบอกให้ไปเดินสำรวจ ไม่ทันต่อผู้ที่จะขอสัมปทานป่า คือเจตนาดี ก็เอาแผนที่มากางแล้วขีดวงไปก่อน แล้วก็ให้คนที่มีสิทธิ์อยู่ก่อนมาเรียกร้องขอใช้สิทธิ์เอง ให้ไปแจ้งต่ออำเภอว่าตนนั้นอยู่มาก่อน วันนี้ก็เลยมีข้อมูลว่ามีคนกว่า 10 ล้านคน ที่อยู่ในป่าอย่างผิดกฎหมาย” ดร.บัณฑูร กล่าว
ดร.บัณฑูร ชี้ว่า แม้เรื่องคนกับป่าจะถูกพูดถึงมานานหลายสิบปีนับตั้งแต่ประเทศไทยมีการประกาศพื้นที่ป่าประเภทต่างๆ “แต่ปัญหาไม่เคยถูกแก้อย่างจริงจัง” โดยเมื่อประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกจับกุมขับไล่โดยรัฐ ก็จะเดินทางเข้ามาชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯ หน้าทำเนียบรัฐบาล จากนั้นรัฐบาลก็จะตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาเจรจา แล้วออกเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่พอเปลี่ยนรัฐบาลปัญหาก็กลับมาแบบเดิม ชาวบ้านก็ต้องมาประท้วงกันใหม่ วนไป-มาแบบนี้ไม่จบสิ้น
และแม้จะมีความพยายามแก้ปัญหา เช่นการผลักดัน “กฎหมายป่าชุมชน” ให้มีศักดิ์ระดับ “พระราชบัญญัติ” แต่ผ่านมาเกือบ 30 ปีก็ยังไม่เป็นผล ซึ่งกฎหมายนี้มีสาระสำคัญคือ “รับรองสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ” แต่ไม่สามารถฝ่าด่าน “อคติ” ของกลุ่มคนที่ไม่เข้าใจกระบวนการจัดการป่าชุมชน ที่พอทำได้บ้างก็มีเพียง “โฉนดชุมชน” ที่ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก่อนถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ที่ดินแปลงรวม” สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
“ที่ดินแปลงรวม ก็คือที่ดินที่ชุมชนดูแลจัดการร่วมกัน ไม่สามารถเอาไปซื้อขายถ่ายโอนได้ โฉนดชุมชนที่เคยทำมาในอดีตก็เช่นเดียวกัน เป็นกติการ่วมดูแลจัดการที่ดินที่ไม่ใช่ระบบปัจเจก เพื่อป้องกันปัญหาการซื้อ-ขายถ่ายโอน และท้ายที่สุดก็ไปตกอยู่ในมือของนายทุน” ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน อธิบาย
จากปัญหาชาวชนบทที่อยู่และใช้ป่าในการดำรงชีพ คนที่อยู่ในเมืองก็มีปัญหาจากข้อกฎหมายที่ออกมาอย่างไม่สมเหตุสมผลเช่นกันดังที่ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงกรณีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากคือ “แค่ขายแผ่นวีดีโอซีดีภาพยนตร์เก่าก็ติดคุก”เนื่องด้วยกฎหมายคือ พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 (มาตรา 38 วรรคหนึ่ง) กำหนดให้การจำหน่ายสื่อภาพยนตร์ต้องขออนุญาตไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม
ทำให้แม้แต่การที่ประชาชนทั่วไปจะนำแผ่นภาพยนตร์เก่าของตนไปขายต่อก็ไม่สามารถทำได้ โดยผู้ฝ่าฝืนมาตรา 79 กำหนดบทลงโทษคือ “ปรับตั้งแต่ 2 แสน-1ล้านบาท” แต่เมื่อจำเลยไม่มีเงินจ่ายก็ต้อง “ถูกขังแทนค่าปรับ” ซึ่ง วีระศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนมาเป็น รมว.ท่องเที่ยวฯ เคยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ อยู่ถึง 5 ปี และได้เรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าวมาตลอด แต่ยัง “ไร้ความคืบหน้า” จนถึงทุกวันนี้
ซึ่งหากถามว่า “แล้วการออกกฎหมายที่ดีควรเป็นอย่างไร?” วีระศักดิ์ ให้ความเห็นว่า “ขอให้ถอดความเป็น “นัก” ของแต่ละคนออกก่อน” เพราะการเป็น “นัก” ไม่ว่านักอะไรก็ตาม กลับกลายเป็นทำให้ “ยึดติด” ในสถานภาพนั้นๆ จน “ลืมความเป็นมนุษย์” ไม่รับฟังมุมมองที่แตกต่างจากภาคส่วนอื่นๆ “คิดแบบยืดหยุ่นไม่เป็น” เห็นได้จากการประชุมร่วมหน่วยงานระดับข้ามกระทรวง ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายสายงาน มักเกิดการถกเถียงอย่างยืดเยื้อยาวนาน เพราะทุกคนยึดติดกับบทบาทของตนอย่างที่สุด ทั้งที่ทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกัน
นอกจากนี้ ในฐานะที่เป็น รมว.ท่องเที่ยวฯ ก็มองว่ายังมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย อาทิ ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 5/2538 เรื่อง กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งออกตามอำนาจของ พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 โดยมีกิจการหลากหลายประเภทอยู่ในบัญชีตามประกาศดังกล่าว แต่ที่กระทบต่อการท่องเที่ยวคือ ในประกาศนี้มี “สนามกอล์ฟ ร้านนวดแผนไทยและกิจการสปา” อยู่ด้วย ทำให้เมื่อ “แปลข้อกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษ” จึงเกิดความ “ตื่นตระหนก” อย่างมากในหมู่ชาวต่างชาติ
“พอไปถามต้นสังกัดว่าท่านประกาศแบบนี้ทำไม? เขาบอกว่าประกาศเพื่อกำหนดประเภทกิจการที่ต้องได้รับอนุญาตจากท้องถิ่น แล้วท่านไปเขียนทำไมว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ? เพราะพอบริษัทต่างประเทศที่เขารับนักท่องเที่ยวมาเขาก็ต้องมีการประกันภัย เขาก็ต้องเอาเอกสารทางการของสถานประกอบการไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่พอแปลแล้วเขาก็ไม่สามารถนำลูกค้ามานวดแผนโบราณได้ เพราะประกาศว่าอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่เขามาคือเขาอยากให้สุขภาพดี” รมว.ท่องเที่ยวฯ ระบุ
อีกด้านหนึ่ง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึง “คุณสมบัติของนักกฎหมายที่ดี” ประกอบด้วย 1.ทันสมัย ตามโลกให้ทัน เห็นได้จากทุกวันนี้มีสินค้าและบริการใหม่ๆ อาทิ Bitcoin ที่เป็นสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์, Uber บริการรับ-ส่งคนที่ต่างไปจากระบบแท็กซี่ดั้งเดิม, การชำระเงินผ่าน QR Code ที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่การซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ สิ่งเหล่านี้อย่างไรก็ต้องมีกฎหมายเข้าไปเกี่ยวข้อง 2.ความไว้วางใจ คนเราจะได้รับความไว้วางใจนั้นไม่ใช่เพราะความเก่งอย่างเดียว แต่ต้องมีความประพฤติดีด้วย
3.สื่อสารกับคนทั่วไปเป็น ซึ่งเป็นปัญหามากของนักกฎหมาย เพราะข้อกฎหมายมีภาษาที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว คนภายนอกมักไม่ค่อยเข้าใจ 4.รู้กว้างและชำนาญลึก มีความเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ก็ควรมีพื้นฐานความรู้เรื่องอื่นๆ ด้วย เพื่อจะได้เข้าใจสถานการณ์ในภาพรวม 5.เข้าอกเข้าใจ บางครั้งผู้ออกมาตรการต่างๆ “ขาดการวิเคราะห์ตามบริบทความเป็นจริง” ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ กับประกาศ “ห้ามชาร์จมือถือในสถานที่ราชการ” หรือก่อนหน้านั้นอย่างการ “ห้ามนั่งท้ายรถกระบะ” จนต้องยกเลิกไปในเวลาต่อมา
6.ประสิทธิภาพ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ สอดคล้องกับความเป็นยุค 4.0 และ 7.ความตื่นตัวทางสังคม เรื่องนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปทำงานต่อสู้เพื่อชาวบ้านคนยากคนจนอย่างเดียว แต่ให้คิดว่าในบทบาทที่ตนดำรงอยู่จะช่วยเหลือสังคมได้อย่างไร อาจไม่ต้องถึงกับออกหน้าแต่เป็นผู้ให้การสนับสนุนก็ได้ เช่น กรณีที่ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดหัวข้อรณรงค์เรื่อง “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัว” นักกฎหมายคนอื่นๆ จะไปร่วมลงชื่อสนับสนุนได้หรือไม่?
“นักกฎหมายอาจจะมี Law Firm (บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย) ใหญ่โต แต่เราทิ้งคนเหล่านี้ไม่ได้ ประเทศเราจะก้าวหน้ามันก็ต้องก้าวไปด้วยกัน” อดีต รมว.คมนาคม ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี