โลกที่(ไม่)เปลี่ยนแปลงของ‘มานิ’…ศักดิ์และสิทธิ์กับ‘โอกาส’ที่ยังตกหล่น
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สตูล ว่า เมื่อเร็วๆนี้กลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกตัวเองว่า “มานิ” ได้นัดรวมญาติกันครั้งแรกที่บ้านวังนาใน หมู่ที่ 10 ต.น้ำผุด อ.ละงู จ.สตูล เพียงเพื่อต้องการพบปะญาติพี่น้องที่พลัดพรากกันตามแนวเทือกเขาบรรทัด เขตรอยต่อ จ.พัทลุง ตรัง และสตูล กว่า 100 ชีวิต เพื่อพูดคุย สอบถามทุกข์สุข และกินอาหารร่วมกัน โดยมี “พ่อเฒ่าไข่ ศรีมะนัง” จากทับสตูล เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งมีทางอำเภอและหลายฝ่ายช่วยเตรียมเรื่องอาหารการกินให้
น.ส.พิชามญช์ บุญวงศ์แก้ว นักศึกษาคณะสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมเพื่อนๆที่เข้ามาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวมานิในหัวข้อ “โลกที่ (ไม่) เปลี่ยนแปลงของมานิ” ยอมรับว่า สังคมของมานิในตำราเรียนกับการมาสัมผัสรับรู้เรื่องราวในการศึกษาเรื่องราวครั้งนี้แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มชาวมานิของ “ป่าบอน” จ.พัทลุง ที่ยังใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติและป่า “เร่ร่อน” ไปมา ขณะที่ “มานิ...สตูล” ปรับตัวเข้ากับสังคมพื้นที่ มีการติดต่อสื่อสารทำกิจกรรม อยู่เป็นหลักแหล่งมากยิ่งขึ้น
ส่วน น.ส.ศิวนุช สร้อยทอง นักวิชาการด้านกฎหมายวิชาชีพโครงการบางกอกคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า คนไทยกลุ่มดั้งเดิมแนวเทือกเขาบรรทัด จ.ตรัง พัทลุง และสตูล คือ “มานิ” ตามสิทธิ์แล้วบุคคลเหล่านี้ต้องได้รับบัตรประจำตัวประชาชนเลข 13 หลักครบถ้วนแล้ว แม้นักสิทธิมนุษยชนจะเปิดเผยว่ามีการจำแนกกลุ่มมานิ ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่ยังไม่ออกมาจากป่าลึก 2.กลุ่มกึ่งสังคมป่า และ 3.กลุ่มความเป็นคนเมือง ที่ปรับตัวเป็นลูกจ้างสวนยางใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป
แต่ทุกวันนี้กลับพบว่า “กลุ่มคนไทยดั้งเดิม” เหล่านี้ ยังไม่มีบัตรประชาชนเพื่อยืนยันความเป็นคนไทย แม้บางคนได้บัตรมาก็ต้องร้องขอใช้สิทธิ์ บางคนต้องใช้สิทธิ์ “ผู้ด้อยโอกาส” ซึ่งนักวิชาการด้านกฎหมายวิชาชีพโครงการบางกอกคลินิก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นว่า สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.สตูล หรือ “พมจ.สตูล” ควรต้องทำงานเชิงรุกมาให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนไทยดั้งเดิม ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสเปราะบาง โดยเฉพาะที่ “ทับ” ของพ่อเฒ่าไข่ ศรีมะนัง ที่มีเด็กมากถึง 20 คน คนแก่ และคนพิการ ที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ์ ทำให้ “บัตรประชาชนทรงพลังไม่ได้”
“สิ่งที่เห็นควรต้องเร่งดำเนินการ คือ การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน ให้มีความปลอดภัย โดยเฉพาะกับเด็ก สตรี และผู้สูงอายุ ให้กับกลุ่มที่ปรับตัวเข้ากับคนเมืองได้ เพราะทุกวันนี้ใครต่อใครก็จะเดินเข้ามาตอนไหนก็ได้ ทำให้ไม่ปลอดภัย และจัดสรรพื้นที่ทำกินเกษตรแบบพอเพียง ให้กับคนด้อยโอกาสเปราะบางเหล่านี้อย่างชัดเจน”
ขณะที่ ดร.ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เขต 12 สงขลา ระบุว่า หลังจากนี้ทาง สปสช.ได้รับลูกต่อจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการแก้ปัญหาด้านสุขภาพให้กลุ่มชาวมานิ หลังพบเด็กเล็กเยอะมากที่ยังไม่ได้รับวัคซีน การสัมผัสกันกับนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องเร่งให้หน่วยงานรับผิดชอบเข้าดูแล และให้เข้าถึงบริการ สอดคล้องกับวิถีชีวิต
“หลังมีการให้เลข 13 หลักบัตรประชาชนแล้ว การเข้าถึงสิทธิ์จะเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งขณะนี้ได้เร่งผลักดันให้มีการอนุโลมในการเข้ารักษาที่ไหนก็ได้ โดยเป็นการใช้สิทธิ์ย่อยในกลุ่มเฉพาะกลุ่มนี้ เพื่อให้เข้าถึงสิทธิ์ และหากยังตกหล่นในการทำบัตรประชาชนก็จะเข้าถึงสิทธิ์สงเคราะห์ได้ด้วยเช่นกัน” ดร.ทพ.วิรัตน์ กล่าว
พัชรี เกิดพรม/สตูล...รายงาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี