END
(หมายเหตุ : บทความชุดนี้ถอดความจากคำบรรยายของ นพ.วิชัย โชควิวัฒน อดีตประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม ในงานเสวนา “จากก้าวคนละก้าว สู่ข้อเสนอการปฏิรูประบบสาธารณสุขไทย” 4 ก.พ. 2561 ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย)
ตอนที่รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ตั้งคณะปฏิรูป 2 คณะ คือคณะของอาจารย์ประเวศ (นพ.ประเวศ วะสี) และคณะของคุณอานันท์ (อานันท์ ปันยารชุน) สิ่งแรกที่เราทำคือกำหนด “นิยาม” คำว่าปฏิรูปคืออะไร เพราะหากไม่นิยามคำนี้แล้ว เราจะไปพูดอะไรก็ไม่รู้ เราสรุปว่าการปฏิรูปคือ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและระบบ” และการปฏิรูปต้องทำให้ดีขึ้น
ตัวอย่างของการปฏิรูป เช่นตอนที่ สงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี 2482-2488) ในยุโรปสิ้นสุด พรรคแรงงาน (Labour Party) ลาออกจากรัฐบาลแห่งชาติ อังกฤษ ที่มีเชอร์ชิล (วินสตัน เชอร์ชิล-Winston Churchil) เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นเชอร์ชิลจาก พรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) คะแนนนิยม 83 เปอร์เซ็นต์ ส่วน คลีเมนต์ แอตท์ลี (Clement Attlee) ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคแรงงานมีคะแนนนิยมแค่ 18 เปอร์เซ็นต์ แล้วหลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง
(บน) วินสตัน เชอร์ชิล จากพรรคอนุรักษ์นิยม , (ล่าง) คลีเมนต์ แอตท์ลี จากพรรคแรงงาน
“ปรากฏว่าคลีเมนต์ แอตท์ลี ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น เหลือเชื่อที่เชอร์ชิลพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทั้งๆ ที่เป็นวีรบุรุษสงคราม สาเหตุเพราะ 2 ปีก่อนที่สงครามจะยุติ มีการศึกษาให้ผลักดันเรื่องการปฏิรูปสวัสดิการสังคมในอังกฤษ ก็มีการออกรายงานมาฉบับหนึ่ง สรุปว่าการปฏิรูปสังคมควรจะทำอะไรบ้าง 1 ในนั้นเป็นการปฏิรูประบบบริการสุขภาพของประเทศ แต่แน่นอนว่าการปฏิรูประบบบริการสุขภาพ ที่พักอาศัย แรงงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องใช้เงินมหาศาล ดังนั้นรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลของเชอร์ชิล จึงไม่ให้เผยแพร่รายงานฉบับนี้”
สาเหตุที่ไม่ให้เผยแพร่ "เพราะประชาชนจะมีความคาดหวังมากมาย และรัฐบาลหลังสงครามไม่มีทางจะหาเงินมามากมายเพื่อสร้างสวัสดิการสังคมในอังกฤษได้" จึงไม่กล้าให้เปิดเผยรายงานฉบับนี้ แต่ความลับไม่มีในโลก ยิ่งพยายามจะปกปิดก็ยิ่งมีการเรียกร้องให้เปิดเผย ในที่สุดเชอร์ชิลก็ยอมให้เปิดเผยรายงานฉบับนี้ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพิมพ์รายงานฉบับเต็ม ปรากฏว่าคนสนใจกันทั่วประเทศ และนี่เองจึงเป็นเหตุให้คลีเมนต์ แอตท์ลี ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เพราะพรรคแรงงานประกาศจะปฏิรูปสวัสดิการสังคมเมื่อสิ้นสุดสงครามโลก
พรรคแรงงานได้ออก “Labour Manifesto” หรือก็คือแถลงการณ์ของพรรคว่าจะทำอะไรบ้าง? และจะทำอย่างไร? ประชาชนจึงตัดสินใจเลือกแอตท์ลี ซึ่งเชอร์ชิลนั้น “งงสุดๆ” ทั้งที่เป็นวีรบุรุษสงครามและคะแนนนิยมสูงแต่ “ทำไมแพ้ยับเยิน?” สาเหตุนั้นก็มีอยู่ 2 ประการ คือคนอังกฤษรู้ว่าเชอร์ชิลนั้นเป็น “นักรบ” เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วคงอยากรบต่อ
"ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก" สมญานามของจักรวรรดิอังกฤษ ผู้มีอาณานิคมในปกครองอยู่ทั่วโลก
“ถามว่ารบกับใคร? ก็รบกับอินเดีย ศรีลังกา สหพันธรัฐมลายู (ปัจจุบันคือประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน) พม่า (ปัจจุบันคือเมียนมา) อาณานิคมในแอฟริกา ไม่ยอมให้เป็นเอกราช ก็จะเดินตามฝรั่งเศส เลยต้องไปทำสงครามที่แอลจีเรีย ที่อินโดจีน แล้วก็พ่ายแพ้อย่างอัปยศที่เดียนเบียนฟู (เวียดนาม) อย่างที่ทราบกัน แต่คนอังกฤษเขาฉลาด อย่าไปคิดว่าประชาชนโง่ เลือกตั้งไม่เป็น เขาบอกว่าเชอร์ชิลควรจะยกเอาไว้ในที่อันสูง ไว้เคารพบูชา แต่อย่ามาบริหารประเทศหลังสงคราม”
สิ่งที่คลีเมนต์ แอตท์ลี ทำหลังการขึ้นสู่อำนาจ คือการส่งคณะผู้แทนมายังอินเดีย แล้วบอกว่า "คุณเตรียมร่างรัฐธรรมนูญ เตรียมเป็นเอกราชได้เลย" ฉะนั้นเงินที่จะเอาไปทำสงครามก็เอามาปฏิรูปสังคม ซึ่งโรงพยาบาลในอังกฤษขณะนั้นก็เหมือนกับประเทศไทย คือเป็นของเอกชนส่วนหนึ่งของรัฐอีกส่วนหนึ่ง และการปฏิรูปของอังกฤษคือ "ซื้อโรงพยาบาลของเอกชนมาเป็นของรัฐทั้งหมด" ไม่ซื้อก็เพียงคลินิกเท่านั้น
การปฏิรูปสำเร็จทั้งประเทศในปี 2491 หรือทั่วทั้งสหราชอาณาจักร (กลุ่มประเทศที่ประกอบด้วยอังกฤษ เวลส์ สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ) ซึ่ง "ระบบของอังกฤษนั้นใช้ระบบเดียวกับบัตรทอง 30 บาทของไทย" ที่เรียกว่า "Tax Base System” คือระบบที่นำภาษีมาเป็นค่ารักษาพยาบาล โดย “รัฐบาลอังกฤษให้การรักษาคนทั้งประเทศ เสียแค่ค่าใบสั่งยา 1 ปอนด์เท่านั้น ไม่ว่าจะป่วยหนักป่วยน้อย” และอังกฤษก็ยังใช้ระบบนี้มาจนทุกวันนี้ ไม่มีใครไปบอกว่าระบบนี้เลวทรามอย่างไร หรือสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างไร
มาร์กาเรต แทตเชอร์ (พรรคอนุรักษ์นิยม) นายกรัฐมนตรีอังกฤษผู้ได้ฉายาว่า "หญิงเหล็ก" (Iron Lady)
ส่วนผู้ที่ปฏิรูปอังกฤษคนต่อมาคือ มาร์กาเรต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) อาทิ การขายอาคารสถานที่ของรัฐออกไปเกือบหมด เช่น อาคารมหานครลอนดอน ด้วยความคิดว่า “เทศบาลในอังกฤษควรจะเป็นเทศบาลย่อยๆ ไม่ใช่มารวมกันใหญ่โตเทอะทะ แล้วบริหารกันอย่างไร้ประสิทธิภาพ” มีการตั้งโจทย์วิเคราะห์ว่ามหานครลอนดอนมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง
“ผลสรุปคือให้ยุบเทศบาลนครลอนดอน แล้วให้เทศบาลย่อยๆ 30 เทศบาลไปบริหาร ถามว่ามหานครลอนดอนตอนนี้เป็นอย่างไร? มันก็ปกติดีเหมือนเดิม ส่วนอาคารมหานครลอนดอนนั้นขายให้นักธุรกิจญี่ปุ่น เอาเงินมาใช้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ขายแม้กระทั่งบริติช แอร์เวย์ (British Airways) สายการบินที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งชาติ แต่มันกลายเป็นหนี้สินแห่งชาติ ก็ขายหมด”
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปสมัยแทตเชอร์นั้นรวมถึงการ “นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ” ผลคือการเรียนระดับอุดมศึกษาในอังกฤษ “ค่าเล่าเรียนแพงมาก” ตรงข้ามกับ ฝรั่งเศส ที่ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยจะถูกกว่าทั้งกรณีของคนฝรั่งเศสและคนต่างชาติที่ไปเรียนในฝรั่งเศส เพราะในฝรั่งเศสเขาถือว่า “การศึกษาเป็นสิทธิขั้นมูลฐานของประชาชน” แต่ของอังกฤษมองว่าเป็นการค้าขายไปหมดแล้ว ค่าเล่าเรียนจึงแพงมโหฬาร
แต่ที่อังกฤษไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ “NHS- National Health Service” (สำนักงานระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ) ตั้งแต่คลีเมนต์ แอตท์ลี จนปัจจุบัน!!!
(โปรดติดตามต่อวันพรุ่งนี้)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี