เพราะคนเราต้อง “หายใจ” ตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลกไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต “คุณภาพอากาศ” ที่อยู่รายรอบตัวมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ หากอากาศเต็มไปด้วยมลพิษย่อมส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนไปด้วย ดังที่กำลังถูกพูดถึงกันอยู่ขณะนี้กับปรากฏการณ์ “หมอกควัน-ฝุ่นละออง” ในกรุงเทพฯ จากเดิมที่หลายคนจะคุ้นเคยกับปรากฏการณ์ดังกล่าวในพื้นที่ภาคเหนือเท่านั้น
ที่งานเสวนา “ภัยร้าย ‘ฝุ่น’ กลางเมือง” ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) รศ.ดร.นันทวรรณ วิจิตรวาทการ คณบดีวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า “ปกติร่างกายของคนเรามีระบบกรองอากาศอยู่แล้ว” ตั้งแต่ขนจมูกไปถึงเส้นใยในหลอดลม แต่ปัญหาคือ “ไม่สามารถกรองฝุ่นที่เล็กกว่า 4.5 ไมครอนได้” ดังนั้นหากฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าไปสะสมในปอดเป็นจำนวนมาก ย่อมส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
รศ.ดร.นันทวรรณ วิจิตรวาทการ
ในฐานะเป็นผู้ที่ศึกษาปัญหาฝุ่นละอองมาถึง 2 ทศวรรษ อาจารย์นันทวรรณ ยกตัวอย่างงานวิจัยที่เคยทำไว้ในปี 2541 สมัยนั้นเน้นเรื่อง “PM10” หรือฝุ่นละอองที่เล็กกว่า 10 ไมครอน พบว่า หากเพิ่มปริมาณ PM10 อยู่ที่ 10 ไมโครกรัมต่อคิวบิกเมตร อาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจส่วนล่างจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ส่วนระบบทางเดินหายใจส่วนบนจะเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 1 อาการไอรุนแรงขึ้นร้อยละ 1.2
และในกลุ่มผู้มีอาการหอบหืด พบว่าต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยาหลอดลมเพิ่มถึงร้อยละ 2.9 อีกทั้งอาการรุนแรงขึ้นถึงร้อยละ 3 ผู้ป่วยที่อาการหนักถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 1.8-1.9 อนึ่ง..ถ้าคิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ จะอยู่ที่ 3.5-8.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ได้มีการทำวิจัยเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้งในปี 2545 แล้วพบว่า อัตราการตายเพราะโรคหัวใจและโรคทางเดินหายใจจากฝุ่น PM10 เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 2
“ท่านอาจจะมองว่าแค่ 2 เปอร์เซ็นต์มันน้อยมาก แต่ถ้ามาดูพลเมืองในกรุงเทพประมาณ 10 กว่าล้านคน 2 เปอร์เซ็นต์ใน 10 กว่าล้านคนก็เยอะนะต่อปีที่ตายก่อนวัยอันควร อันนี้ขนาดแค่ PM10 นะ ถ้า PM 2.5 มันน่าจะมีผลกระทบมากกว่านั้น ถ้าไปดูการศึกษาในต่างประเทศ จะมีงานหลายชิ้นที่บอกว่า PM 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพ” อาจารย์นันทวรรณ กล่าว
ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล
ขณะที่ ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า ในมุมหนึ่งโรคภูมิแพ้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ หรืออากาศชื้น-อากาศเย็น รวมถึงฝุ่นละอองทั้ง PM10 และ PM 2.5 ที่หมายถึงฝุ่นละอองที่เล็กกว่า 10 ไมครอน และ 2.5 ไมครอน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การเก็บสถิติผู้ป่วยโรคหอบหืดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็พบว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลมักจะเป็นผู้ป่วยภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยข้างต้น
แต่อีกมุมหนึ่ง หากเน้นไปที่ฝุ่น “PM2.5” ที่พูดถึงกันมากในเวลานี้ คุณหมออรพรรณ ระบุว่า สำหรับ “คนทั่วไป” ที่สุขภาพแข็งแรงดี “ไม่ต้องตื่นตระหนก” เพราะฝุ่นชนิดนี้จะ “มีผล” กับคนที่อยู่ใน “กลุ่มเปราะบาง” อาทิ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด แพ้อากาศ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงผู้สูบบุหรี่ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ระบบหายใจไม่แข็งแรง เมื่อมีฝุ่นละอองมาอุดตันก็จะมีอาการได้ง่าย เช่น หายใจไม่ออก
(บน) หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษกรอง ข้อดีคือราคาถูก หาซื้อได้ง่าย ป้องกันฝุ่นละอองและเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อเสียคือกรองฝุ่น PM2.5 และเชื้อไวรัสไม่ได้
(ล่าง) หน้ากากอนามัยแบบ N95 ข้อดีคือกรองฝุ่น PM2.5 และเชื้อไวรัสได้ แต่ข้อเสียคือราคาสูงกว่า และสวมใส่ได้ไม่นานเพราะหายใจไม่สะดวก
ที่มา :
https://www.amazon.in/RMH-Disposable-Pollution-Chemical-Respirator/dp/B06X15JLVK
http://www.acesurgical.com/n95-particulate-respirator-and-surgical-mask.html
คุณหมออรพรรณ แนะนำข้อควรปฏิบัติในการใช้ชีวิตกับฝุ่นละอองไว้ว่า กรณีคนทั่วไป “สวมหน้ากากอนามัยเป็นนิสัย” อาทิ หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษกรอง ใส่ทุกครั้งเมื่อไปสถานพยาบาลหรือเมื่อเป็นหวัด เพราะหน้ากากชนิดนี้แม้จะไม่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 หรือเชื้อไวรัสได้ แต่ก็ยังกรองฝุ่นละอองที่ขนาดใหญ่กว่าหรือเชื้อโรคชนิดอื่นๆ ได้ ส่วน “หน้ากากแบบ N95” ให้ใส่เฉพาะเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีฝุ่นมาก เพราะแม้หน้ากากชนิดนี้จะกันฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสได้ แต่ข้อจำกัดคือใส่แล้วจะหายใจไม่สะดวก จึงไม่สามารถใส่ติดต่อกันได้นานๆ
ส่วนในกรณีผู้มีประวัติป่วยเป็นภูมิแพ้ไว้ว่า “พกยาติดตัวไว้ตลอด” เพราะเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะต้องไปเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเมื่อใด หลายคนเป็นภูมิแพ้แต่ไม่ได้แสดงอาการบ่อยๆ จึงมักเก็บยาไว้ที่บ้าน เก็บกันจนหมดอายุก็มี พอมีอาการขึ้นมาก็ไม่มียาพ่นหรือยาเสื่อมสภาพใช้ไม่ได้จะอันตราย ซึ่งเคยมีกรณีผู้ป่วยเสียชีวิตเพราะพ่นยาช้าไป 5 นาทีหลังอาการกำเริบ และ “ใช้ยาสม่ำเสมอ” ตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอาการก็ตาม
“หอบหืดเป็นโรคที่ไม่หาย เป็นตลอดชีวิต คนไข้ที่หอบบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเสียชีวิตเพราะจะรู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แต่คนที่ 3 ปีหอบครั้ง จำไม่ได้ว่าหอบมีอาการอย่างไร และไม่ทราบว่าเวลาหอบจะดูแลตัวเองอย่างไร แล้วยาฉุกเฉินที่ใช้มักจะหมดอายุอีก ส่วนใหญ่หลอดหนึ่งมีอายุปีครึ่ง-2ปี เคยเจอคนไข้เสียชีวิตเพราะยาหมดอายุพ่นไปก็ไม่ได้ผล จึงแนะนำว่าต้องพกยาเสมอไม่ว่าไปที่ไหน และมีแผนปฏิบัติการเมื่อหอบกำเริบ” คุณหมออรพรรณ กล่าว
ส่วนข้อเสนอแนะในภาพรวม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ท่านนี้ กล่าวว่า “ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. ของทุกปี ไม่ควรจัดกิจกรรมปิดถนนวิ่งในกรุงเทพฯ” เพราะช่วงเวลานี้จะมีฝุ่นละอองตกค้างมากบนท้องถนนในเมืองกรุง ซึ่งที่ผ่านมามีผู้มีประวัติป่วยภูมิแพ้ไปวิ่งแล้วอาการกำเริบถึงขั้นต้องพบแพทย์ เพราะการวิ่งทำให้ต้องหายใจเร็ว หรือใช้ปากหายใจนอกเหนือจากจมูก ก็จะสูดเอาฝุ่นละอองเข้าไปในปริมาณมาก
“CPR” การปฐมพยาบาลผู้หมดสติ
ที่มา : สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
นอกจากนี้ยังเปิดประเด็นชวนคิดว่า “การดูแลผู้มีอาการภูมิแพ้ ควรเป็นทักษะที่ทุกคนต้องรู้หรือไม่?” เช่นเดียวกับการทำ “CPR” หรือการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพ ที่วันนี้มีการส่งเสริมให้ทุกคนได้เรียนรู้เพื่อจะสามารถปฐมพยาบาลคนใกล้ตัวที่เกิดภาวะหมดสติได้ “เพราะแม้ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นหอบหืด แต่กลุ่มเสี่ยงหอบหืดมักเป็นกลุ่มเปราะบาง เช่นเด็กหรือผู้สูงอายุ” ซึ่งมีข้อจำกัดในการดูแลตนเองเมื่อเกิดอาการ
“คนไทยเสียชีวิตจากหอบหืดปีละ 1,000 คน สถิตินี้ไม่เคยลดเลยไม่ว่าเรามียาดีขนาดไหน เพราะเราไม่ได้ใช้ยาหอบทุกวัน เราไม่มีแผนรับมือเวลาอาการหอบหืดกำเริบ ทุกปีจะมีคนไข้ในมือเสียชีวิต โดยเสียชีวิตที่บ้าน เพราะคนไข้ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่หอบ หอบแล้วทำตัวอย่างไร เมื่อไหร่ต้องไปโรงพยาบาล อยากให้เรื่องนี้คนไข้และคนทั่วไปได้รู้” คุณหมออรพรรณ ฝากทิ้งท้าย
เพราะเราคงไม่สามารถทำให้ความหนาแน่นทั้งของ “รถยนต์” ที่เป็นสาเหตุสำคัญของฝุ่นละออง และ “อาคารสูง” ที่เป็นอุปสรรคต่อการระบายฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ เบาบางลงได้ อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันใกล้ ดังนั้นผู้คนจำนวนมากก็ยังคงต้องใช้ชีวิตในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อไป
ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง..รวมถึง “มีระบบแจ้งเตือนที่ดี” ก็จะพอให้สามารถลดความเสี่ยงโรคภัยไข้เจ็บลงได้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี