“ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส” นับจากปี 2547 จนถึงวันนี้ผ่านไป 14 ปี สถานการณ์ความไม่สงบยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง ยังคงมีเหตุลอบยิงลอบวางระเบิด และการปะทะกันระหว่างแนวร่วมก่อความไม่สงบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐอยู่เป็นระยะๆ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบต่อครอบครัวของผู้สูญเสียโดยตรงเท่านั้น แต่ยังทำให้ “3 จังหวัดชายแดนใต้” กลายเป็นดินแดนที่ดูน่ากลัวในสายตาคนภายนอก ไม่ค่อยจะมีใครกล้าไปทำงานหรือไปท่องเที่ยว เศรษฐกิจในพื้นที่จึงซบเซา ส่งผลต่อทุกชีวิตที่ยังต้องอาศัยอยู่ไปโดยปริยายในภาพรวม
ท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิดอันเป็นที่ชาชินไปแล้วทั้งกับคนในพื้นที่ตลอดจนคนนอกที่ติดตามจากสื่อต่างๆ ดินแดนปลายด้ามขวานยังมีปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่รอการแก้ไขอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะ “คุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน” ซึ่งหากประเด็น “เด็กหลุดจากระบบการศึกษา” เป็นปัญหาที่พบในทุกภาคของประเทศ สำหรับเด็กและเยาวชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
แล้ว ปัญหาดังกล่าวจะรุนแรงและซับซ้อนกว่าเป็นเท่าตัว
(ซ้าย) บาเรน-อับราน มอสู (ขวา) มัง-สาหะซูไลมัน อันอตับ
บาเรน-อับราน มอสู รองประธานบ้านพิราบขาว เครือข่ายเยาวชนชายแดนใต้ อธิบายว่า ที่นี่เด็กหลุดนอกระบบ 1 คนจะพบปัญหามากกว่า 1 อย่าง เช่น ความยากจน ความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงความไม่เข้าใจกันระหว่างภาครัฐกับผู้ปกครองของเด็กๆกล่าวคือ “ระบบการศึกษาสามัญ” ด้วยหลักศาสนาที่แตกต่างส่งผลให้พวกเขารู้สึกแปลกแยก ทั้งจากครอบครัวพวกเขาเองที่เน้นไปที่ระบบการศึกษาตามหลักศาสนา และจากภาครัฐเองที่เหมารวมให้เด็กที่เรียนโรงเรียนสอนศาสนาเท่ากับเด็กนอกระบบ
หลุดจากระบบแล้วไปไหน?..อับราน เล่าต่อไปว่า เส้นทางที่เด็กหลุดระบบเลือกเดินจึงเหลือไม่กี่ทาง บางคนต้องใช้แรงงานแลกเงินเพื่อปากท้องของตัวเองและครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก บ้างต้องละทิ้งบ้านเกิดไปเป็นแรงงานที่อื่นแทน ที่น่าห่วงคือพวกเขามีแนวโน้มต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นและสืบทอดไปรุ่นต่อรุ่น อีกทั้งยังอาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ “ยาเสพติด”โดยเฉพาะน้ำต้มใบกระท่อม “สี่คูณร้อย”อันเป็นอีกปัญหาสำคัญในพื้นที่ชายแดนใต้
อับราน กล่าวว่า การที่เด็กหลุดจากการศึกษา ส่วนหนึ่งมาจากความไม่สงบในพื้นที่ การไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข อำนาจของสถาบันการเมืองยังส่งผลต่อเนื่องมายังสถาบันครอบครัวและขยับมาอีกขั้นคือศาสนา เกิดความหวาดระแวงทั้งชุมชนพุทธ จีน และมุสลิม ส่งผลให้ปัจจุบันคือ ต่างคนต่างอยู่ ต่างมองกันด้วยสายตาหวาดระแวงและไม่เป็นมิตร
“เด็กนอกระบบสำหรับบ้านพิราบขาวไม่ใช่แค่หลุดออกจากการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่มีความเปราะบางทางด้านสังคมรวมอยู่ด้วย เด็กที่ไม่ได้เรียน เด็กที่เรียนปอเนาะ เด็กที่เรียน กศน. หรือเด็กที่ไม่มีความพร้อมและไม่ได้รับโอกาสทางสังคม เด็กแทบทุกช่วงอายุสามารถหลุดออกจากระบบการศึกษาได้ แต่ที่มากที่สุดคือช่วงประถมศึกษาปี 6 หรืออายุ 12 ปี ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างประถมและมัธยมพอดี และหากหลุดแล้วมีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะได้กลับมาเรียนหนังสือ
อีกครั้ง” เขากล่าว
ไม่ต่างจาก มัง-สาหะซูไลมัน อันอตับ ประธานพิราบขาวจูเนียร์และประธานกลุ่มบ้านรักษ์กะลา ชุมชนบ้านบางมะรวด อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ที่เล่าว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างและทำประมง ปัญหาความยากจนส่งผลให้เด็กๆ ต้องหลุดออกจากนอกระบบการศึกษา “บางคนหลุดตั้งแต่ ป.2-3 ก็มี” และยากมากที่จะกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาสามัญแทบอีกครั้ง ส่งผลให้พวกเขาจำเป็นต้องประกอบอาชีพแรงงานพื้นฐานทั่วไป วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งภาพแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากวิกฤติที่เกิดขึ้น ทำให้คนในพื้นที่กลุ่มหนึ่งต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ซึ่งนั่นคือการก่อตั้ง “เครือข่ายบ้านพิราบขาว” อับราน อธิบายว่าบ้านพิราบขาวเปรียบเสมือน “คนกลาง”คอยเชื่อมประสานรอยร้าวในชุมชนให้คนในชุมชนได้มาพูดคุยกันโดยใช้หลักศาสนา กระบวนการเชิงสมานฉันท์ การประชุมเพื่อหาข้อยุติ ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจใหม่ เพราะการมีเวทีร่วมกันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่เป็นการเปิดโอกาสให้ปรับความเข้าใจกัน
รอง ปธ.บ้านพิราบขาว กล่าวอีกว่า กลไกการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายใช้กระบวนการ “4 เสา” ประกอบด้วยผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำชุมชนและผู้นำเยาวชน เพื่อให้เข้าถึงเด็กและเยาวชนมากที่สุด โดยกลไก 4 เสาของแต่ละชุมชมนั้นจะทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐรวมถึงภาคส่วนอื่นๆ ส่วนบ้านพิราบขาวซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จะทำหน้าที่รวบรวมปัญหาของชุมชนส่งต่อถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในแต่ละเรื่อง
“ที่สำคัญคือการพัฒนาทักษะทางอาชีพผ่านการถ่ายทอดความรู้ของปราชญ์ชุมชน การส่งเสริมพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน และกระบวนการส่งเสริมทักษะชีวิตสำหรับเยาวชน แต่ทั้งหมดนี้ชุมชนต้องทำด้วยตัวเอง บ้านพิราบขาวมีหน้าที่เพียงคอยแนะนำเท่านั้น” อับราน กล่าวย้ำ
การมีส่วนร่วมของเยาวชน (จากเฟซบุ๊ค “บ้านพิราบขาว เครือข่ายเยาวชนชายแดนใต้”)
ขณะที่ สาหะซูไลมัน กล่าวว่า บ้านรักษ์กะลาก่อตั้งขึ้นเพื่อสอนทักษะ “หัตถกรรมจากกะลามะพร้าว” ให้กับเยาวชนหรือคนในชุมชน ซึ่งได้รับความสนใจจากธุรกิจภาคการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านค้า รวมถึงภาครัฐ โดยคาดหวังว่าสำหรับผู้ที่หลุดไปจากระบบการศึกษา อย่างน้อยๆ จะได้มีอาชีพในท้องถิ่นไม่ต้องเดินทางไปทำงานในที่ห่างไกลภูมิลำเนา แต่สำหรับเขาแล้ว ยังตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่าจะสามารถปลูกฝัง “สำนึกรักบ้านเกิด” ความภาคภูมิใจในชุมชน รวมถึงการมีจิตอาสา ซึ่ง “ต้องสอนตั้งแต่อายุยังน้อยๆ” เพื่อป้องกันเด็กจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ง่ายกว่าที่กลุ่มจะได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ในชุมชน ในช่วงแรกๆ ของการทำงาน ผู้ใหญ่ในชุมชนมักมองทีมงานบ้านรักษ์กะลาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ด้วยเข้าใจว่าพวกเขาจะมาปลุกระดมอะไรหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องเชิญผู้ใหญ่มารับรู้ว่าไม่ใช่การปลุกระดม แต่กำลังทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และไม่ได้จำกัดว่าผู้เข้าร่วมต้องเป็นใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะเป็นเด็ก เยาวชน ผู้ที่อยู่ในหรือนอกระบบการศึกษา หรือคนในชุมชนก็ได้
“การพัฒนาชุมชนต้องมีหลายภาคีเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่แกนนำเดียวหรือกลุ่มเป้าหมายแค่อย่างเดียวต้องไปด้วยกันทั้งชุมชน โดยเฉพาะสี่เสาหลัก ต้องสร้างความรู้และความเข้าใจกับผู้ปกครองของเด็ก ทุกคนต้องพัฒนาไปด้วยกัน ต้องไปในหลายๆมิติถึงจะทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง”ปธ.กลุ่มบ้านรักษ์กะลา กล่าวทิ้งท้าย
รายงาน ดัชนีความก้าวหน้าของคน ปี 2560 ซึ่งจัดทำโดย “สภาพัฒน์” สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดอันดับ 77 จังหวัดของไทยระบุว่า 3 จังหวัดชายแดนใต้ อยู่ในกลุ่ม“สีแดง” คือมีคะแนนในเกณฑ์ “รั้งท้าย”โดยยะลาอยู่ในอันดับ 72 ปัตตานีอันดับ 74 และนราธิวาสอันดับที่ 75 นอกจากนี้ 2 ใน 8 ตัวชี้วัดย่อยคือ “การศึกษา-รายได้” ปัตตานียังอยู่ในอันดับ 76 และนราธิวาสอยู่อันดับ 77 ตามลำดับ
แม้ไม่มีใครรู้ได้ว่า “ไฟใต้” จะถูกดับลงได้เมื่อใด แต่ “เสียงเล็กๆ ของคนกลุ่มเล็กๆ” ยังพยายามแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ต่อไป โดยหวังว่า “สันติสุข” จะกลับมาสู่พื้นที่ปลายด้ามขวาน...ในสักวันหนึ่ง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี