“17 วัน” เป็นเวลาที่ชาวไทยและชาวโลก “ลุ้นระทึก” กับปฏิบัติการ“กู้ภัย 13 ชีวิต” ทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี ที่เข้าไปติดอยู่ในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. 2561หลายคนบอกว่านี่คือเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่รวบรวมเอา “สุดยอดบุคคล” ผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงและหลายประเทศมาร่วมภารกิจเดียว ท่ามกลางคำอธิษฐานของคนทั่วโลกขอให้ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี กระทั่งผู้ประสบภัยคนสุดท้ายถูกลำเลียงออกมาจากถ้ำในวันที่ 10 ก.ค. เสร็จสิ้นภารกิจอย่างสมบูรณ์
ทว่าท่ามกลางบุคคลมากมายที่ถูกยกย่องให้เป็น “ฮีโร่” (Hero)ของเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ยังมีอาชีพหนึ่งที่ถูกประทับตราให้กลายเป็น “ผู้ร้าย-ส่วนเกิน” นั่นคือ “สื่อมวลชน” มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตั้งแต่การใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน-Drone) บินตามเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงผู้ประสบเหตุ ซึ่งถูกศาลสั่งปรับและยึดโดรนลำดังกล่าวไปแล้ว หรือการปล่อยเสียงวิทยุสื่อสารที่แม้จะยืนยันว่าไม่ใช่การดักฟังเพราะเป็นคลื่นที่ใครๆ ก็ใช้ได้ไม่ต้องขออนุญาต การถามคำถามที่บีบคั้นความรู้สึกการเปิดเผยชื่อผู้ประสบเหตุว่าใครออกก่อน - หลัง ฯลฯ
ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิตร ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์การ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า-NIDA) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสื่อสารมวลชน กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและ
สร้างสรรค์ กล่าวในงานเสวนา “ถอดบทเรียนการทำข่าวถ้ำหลวง” ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อธิบายปรากฏการณ์ครั้งนี้ที่สื่อมวลชนโดยเฉพาะสื่อไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไว้ 5 ข้อ คือ
1.ขาดความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภค จริงอยู่ที่ในสถานการณ์วิกฤติผู้บริโภคต้องการข่าวที่รวดเร็วและชอบเรื่องประเภท “ดรามา” (Drama) สะเทือนความรู้สึก แต่ขณะเดียวกัน“ผู้บริโภคสื่อออนไลน์มีความอ่อนไหวทางจริยธรรมสูงมาก” ประกอบกับ“ผู้ใช้สื่อออนไลน์ส่วนหนึ่งต้องการโชว์ผลงาน” ใครจับผิดสื่อได้คือดี “ถ้ามีช่องโหว่ก็มีประเด็น” มีการแชร์กันถล่มกัน ยิ่งกรณีนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา เพราะมีทั้ง “เด็ก-ผู้ประสบภัย-ผู้ป่วย” 3 สถานะรวมกัน ความอ่อนไหวของสังคมจึงมากเป็นพิเศษ
2.ขาดความใส่ใจจริยธรรม ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทำให้เข้าใจว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ทำได้ 3.ขาดความสร้างสรรค์ เรื่องนี้ถูกพูดถึงมาก เห็นได้จาก “เมื่อมีการจัดระเบียบพื้นที่หน้าถ้ำ สื่อไทยก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ” ต่างจากสื่อต่างชาติที่ทำข่าวแตกประเด็นอื่นไปได้อีกมากมาย 4.ขาดการยอมรับผิด สื่อบางสำนักยังคงเชื่อว่าตนเองไม่ผิดแล้วก็ก่อประเด็นตอบโต้ต่อไป และ 5.ขาดการควบคุมกันเอง สมาคมวิชาชีพมีการทำอะไรมากกว่าการออกประกาศบ้างหรือไม่
ขณะที่ในมุมของคนทำงานสื่อ ไล่ตั้งแต่ ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าว ThaiPBS ที่ลงไปยังพื้นที่เกิดเหตุด้วย ยอมรับว่า “เหตุการณ์ที่ถ้ำหลวง..ความคาดหวังของสังคมคือ ต้องการเห็นความสำเร็จและรับรู้ข่าวดี” ต่างไปจากเหตุการณ์อื่นๆ ที่คนทำสื่อเคยชินว่าสังคมต้องการข่าวที่ดีที่สุด เร็วที่สุด ลึกที่สุดและครอบคลุมที่สุด ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เข้าไปรบกวนความคาดหวังนั้นก็จะถูกต่อต้านอย่างเต็มที่
ดังนั้นในการทำข่าวหน้างานมีหลักอยู่ 1.เข้าไปรบกวนหรือกีดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือไม่ 2.หากรายงานข่าวไปแล้วจะเกิดผลกระทบหรือไม่ โดยยืนยันว่า “ผู้สื่อข่าวภาคสนามให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์” เว้นแต่บางเรื่องที่สื่อมีความเห็นไม่สอดคล้องกับข้อห้ามที่ออกมา เช่น การห้ามบันทึกภาพทั้งที่ไม่มีลักษณะเป็นการขัดขวางเจ้าหน้าที่ ซึ่งข้อห้ามนั้นบางครั้งไม่ถูกอธิบายว่าเพราะอะไร
“เวลามีกรณีแบบนี้นักข่าวเราทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ แล้วเรื่องใหญ่ๆ ที่ผ่านมา เช่น การบุกยึดสถานทูตพม่า การบุกยึดโรงพยาบาลราชบุรี มันก็มีความสับสนอลหม่านวุ่นวายกัน แต่การพูดคุยกับระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสื่อ อะไรได้อะไรไม่ได้ ที่ไม่ได้เพราะอะไร ถ้ามีตรงนี้เกิดขึ้น จะทำให้การทำงานถ้าเกิดมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต จะลดความสับสนวุ่นวาย ลดความไม่พอใจซึ่งกันและกันมากขึ้น” ผอ.สำนักข่าว ThaiPBS กล่าว
เช่นเดียวกับ ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ กล่าวว่า บางเรื่องคนทำสื่อเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าทำไม่ได้ อาทิ “การห้ามเปิดเผยใบหน้าของหน่วยซีล (SEAL)” เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกองทัพเรือ “กว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะแจ้งขอความร่วมมือกับสื่อก็ผ่านไปแล้ว1-2 วัน” อีกทั้งไม่ได้ทำกันเฉพาะสื่อไทย สื่อต่างประเทศเองก็ไม่ได้ปกปิดใบหน้าเจ้าหน้าที่หน่วยซีลเช่นกันในช่วงวันแรกๆ ของปฏิบัติการที่ถ้ำหลวง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า “ระยะหลังๆ ผู้บริโภคกำกับสื่อได้อยู่หมัด” เห็นได้จากเรื่องไหนที่มีเสียงท้วงติงมา หลังจากนั้นสื่อก็จะหยุดทำเรื่องนั้นทันที และกล่าวอีกว่า การนำเสนอข่าวแบบหนึ่งที่ในอดีตเคยทำได้ ปัจจุบันอาจกลายเป็นปัญหา เพราะผู้บริโภคอ่อนไหวกับเรื่องจริยธรรมมาก ซึ่งก็เป็นเรื่องดี แต่ถึงกระนั้นประเด็นจริยธรรมก็ยังมีข้อถกเถียงเช่นกัน
“มันมีแง่มุมในเรื่องของความถูกผิด ความก้ำกึ่งค่อนข้างเยอะ ยิ่งระดับหัวหน้าข่าวมาถกเถียงกัน มันมีรายละเอียดประเด็นปัญหาเรื่องจริยธรรมค่อนข้างมาก คือเขาก็เชื่อว่าผู้บริโภคอยากดูอยากเห็นขณะที่ผู้บริโภคอีกกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคออนไลน์บอกว่าไม่อยากเห็น ก็เป็นปัญหาของคนทำงานที่ต้องชั่งน้ำหนัก หนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อโบราณที่สุด มีเวลาพิจารณาถูกผิดมากที่สุดก็ยังมีปัญหาเวลานำเสนออาจเป็นประเด็นอ่อนไหว เพราะคนที่ซื้อหนังสือพิมพ์จริงๆกับคนที่คอยจับจ้องว่าหนังสือพิมพ์เสนออะไรมันคนละกลุ่มกัน”ชวรงค์ ระบุ
ด้าน นันทสิทธิ์ นิตย์เมธา อุปนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ให้มุมมองว่า เหตุการณ์ถ้ำหลวงพบว่าสื่อออนไลน์มาแรงมาก ทั้งการถ่ายทอดสดผ่าน “เฟซบุ๊ค ไลฟ์” (Facebook Live) หรือรายงานข้อความสั้นๆ ผ่าน “ทวิตเตอร์” (Twitter) ไม่ว่าสื่อดั้งเดิมที่เพิ่มเติมช่องทางนำเสนอผ่านสื่อออนไลน์ หรือสำนักข่าวออนไลน์ที่ตั้งขึ้นใหม่แต่ท่ามกลางความนิยมนี้เอง “ข่าวปลอม” (Fake News) เป็นปัญหาที่สื่อออนไลน์พบบ่อยๆ ประเภทเอาภาพเหตุการณ์ที่หนึ่งมาเขียนบรรยายเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน
นอกจากนี้ “สื่อออนไลน์เองก็มี 2 กลุ่ม” กลุ่มหนึ่งมีการส่งนักข่าวลงไปทำงานในพื้นที่จริง กลุ่มนี้จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนรายงาน กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำแต่เพียงรวบรวมข่าวอยู่กับที่อย่างเดียว โดยกลุ่มนี้อาจเกิดข้อผิดพลาดได้หรือไม่? ก็ต้องหาวิธีตรวจสอบด้วย อย่างไรก็ตาม หากต้นทางของข่าวผิด การส่งต่อก็จะกลายเป็นการส่งข้อมูลผิดๆ ไปยาวๆ เพราะสื่อออนไลน์สามารถกระจายข้อมูลได้รวดเร็ว
บทเรียนจากกรณีถ้ำหลวง สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การทำข่าวทีมฟุตบอลหมูป่า 13 คนติดอยู่ในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งอาจจะมีสื่อบางส่วนล้ำเส้นไปบ้างเช่น การใช้โดรนบินถ่ายภาพ เรื่องนี้เข้าใจว่าที่ผ่านมายังมีความสับสนกันอยู่
ดังนั้นหากเป็นสื่อโทรทัศน์ องค์กรกำกับดูแลอย่าง กสทช. ควรเป็นตัวกลางในการประสานระหว่างศูนย์อำนวยการร่วม (ศอร.) หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กำชับกับสถานีโทรทัศน์ทุกช่องแต่แรกว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพื่อช่วยให้สื่อโทรทัศน์ทำงานอยู่ในกรอบกฎหมายมากขึ้น ส่วนด้านจริยธรรมที่กำกับดูแลกันเองอยากเห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังได้เห็นสื่อหลายสำนักทำข่าวอย่างระมัดระวังเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งครั้งนี้เป็นเหตุการณ์พิเศษ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีทั้งเด็กทั้งผู้ป่วย มีกฎหมายทั้งระหว่างประเทศและกฎหมายไทยเกี่ยวข้อง
“กติกาพื้นฐานอย่างจะใช้โดรนได้หรือไม่ได้ จะถ่ายทอดสดได้หรือไม่ได้ จะใช้วิทยุสื่อสารได้หรือไม่ได้ ก็เกี่ยวกับกฎกติกามารยาท ซึ่งก็เกี่ยวกับ กสทช. ก็น่าจะออกมาเชิงรุกมากกว่านี้ บอกให้ทุกช่องทำเหมือนกันหมด อาจจะไล่ตั้งแต่แรก กสทช. ก็เงียบไปนิด ในเรื่องที่ควรจะออกก็หายไป ไม่ได้ให้แบนหรือห้ามแต่ให้ช่วยวางกรอบว่าอะไรที่มันไม่ขัดกฎกติกามารยาท เป็นตัวกลาง เพราะถ้าให้รัฐบาล สังคมอาจจะเรียกร้องให้รัฐบาล ให้ทหารหรือหน่วยงานรัฐมาควบคุมเอง สื่ออาจจะกังวลกว่านี้ มี กสทช. เป็นคนกลางดีกว่า เข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย” น.ส.สุภิญญา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี