อภิชาต จงสกุล
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดในประเทศไทย แต่มีผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าภาคอื่นๆ ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือ ปัญหาดินเค็ม โดยถือได้ว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการทำการเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตพืช ทำให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม
นายอภิชาต จงสกุล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปัญหาดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 11.5 ล้านไร่ โดยแพร่กระจายอยู่ตามพื้นที่นาในจังหวัดต่างๆ สำหรับพื้นที่ดินเค็มในสังกัดสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 3 มีพื้นที่ดินเค็มประมาณ 5 ล้านไร่ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ 1 ใน 2 ของพื้นที่ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินเค็มเป็นปัญหาสำคัญต่อการทำการเกษตร โดยเฉพาะข้าว เนื่องจากความเค็มมีผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโต และผลผลิตข้าว ซึ่งส่งผลให้รายได้ของเกษตรกรลดลง คุณภาพชีวิตของเกษตรกรไม่ดีเท่าที่ควร เกิดการย้ายถิ่นฐานเมื่อใช้ที่ดินทำกินไม่ได้
การแพร่กระจายดินเค็มเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน เช่น การตัดไม้ทำลายป่าบนพื้นที่เนินรับน้ำ (recharge area) เพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ไร่มันสำปะหลัง ปลูกอ้อย ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลของน้ำในดินและความชื้นในดิน เมื่อถึงฤดูฝน น้ำใต้ดินเค็มในที่ลุ่มถูกยกระดับขึ้นใกล้ผิวดิน ทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็มเพิ่มขึ้นในพื้นที่ใช้น้ำ (discharge area) ดังนั้น เพื่อเป็นป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทำให้เกิดความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ในการลดการแพร่กระจายพื้นที่ดินเค็มและฟื้นฟูสภาพพื้นที่ดินเค็ม ให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรได้นั้น จะต้องมีการจัดทำกิจกรรมต่างๆเพื่อควบคุมสมดุลของน้ำ ตั้งแต่พื้นที่เนินรับน้ำ (recharge area)จนถึงพื้นที่ให้น้ำ (discharge area)
ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดิน จึงได้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาดินเค็ม และลดการแพร่กระจายดินเค็ม รวมทั้งการฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มให้สามารถใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรได้ โดยจัดให้มีกิจกรรมในทุกๆพื้นที่ เช่น พื้นที่เนินรับน้ำ (recharge area)จัดให้มีการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็วที่เป็นไม้เศรษฐกิจ เพื่อเป็นการส่งเสริมพื้นที่ป่าและลดระดับน้ำใต้ดินเค็ม พื้นที่ดินเค็มมากถึงดินเค็มจัด มีการแก้ไขปัญหาโดยใช้ระบบวิศวกรรมเข้ามาช่วย พื้นที่ดินเค็มปานกลาง ฟื้นฟูโดยการปรับรูปแปลงนาร่วมกับการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็ว พื้นที่ดินเค็มน้อย จัดให้มีการปรับรูปแปลงนาร่วมกับการใช้พืชปุ๋ยสดเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน นอกจากนี้ยังได้มีการฝึกอบรมให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการเกิดดินเค็ม วิธีการแก้ปัญหา ตลอดจนแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายดินเค็มด้วย ซึ่งกิจกรรมต่างๆที่กล่าวมาแล้วนั้น สามารถช่วยลดการแพร่กระจายดินเค็ม และฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มให้สามารถกลับมาใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรได้อย่างยั่งยืน
อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวด้วยว่า จากการดำเนินการโครงการพัฒนาดินเค็มของสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 3 ตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันได้ดำเนินการไปแล้วเป็นพื้นที่ 3,000 ไร่ โดยวิธีการแก้ไขปัญหาดินเค็มและลดการแพร่กระจายดินเค็ม ได้ดำเนินการในหลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความเค็มของดินในพื้นที่ กล่าวคือ ในพื้นที่ดินเค็มมากถึงเค็มจัดใช้ระบบวิศวกรรมเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยการขุดลอกคลองระบายเกลือ การปรับรูปแปลงนาและทำท่อลอดเพื่อระบายเกลือ สำหรับในพื้นที่ดินเค็มปานกลาง ใช้วิธีการปรับรูปแปลงนาร่วมกับการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็ว ส่วนในพื้นที่ดินเค็มน้อย ใช้วิธีการปรับรูปแปลงนาร่วมกับการปลูกพืชปุ๋ยสด และในพื้นที่ที่มีศักยภาพการแพร่กระจายเกลือ ใช้วิธีการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็ว เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำใต้ดิน
อย่างไรก็ตาม จากการแก้ปัญหาดินเค็มดังกล่าว ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ปัญหาดินเค็มสามารถแก้ไขและสามารถลดการแพร่กระจายดินเค็มได้ เกษตรกรสามารถใช้พื้นที่เพื่อทำการเกษตรได้ มีผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และสภาพแวดล้อมดีขึ้น ดังนั้น จึงจะมีการขยายผลไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง หรือขยายผลไปยังพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับโครงการฯ เพื่อจะได้เป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี