เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี พ.ศ. 2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร จึงมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง" (Artificial rain) ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2512 จนเกิดความสำเร็จของการทำฝน และทดลองทำจริงจนวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ ทำให้เห็นว่าความสำคัญในการทำฝนมีมากจนต้องก่อตั้งเป็นกรมฝนหลวงและการบินเกษตรขึ้น ซึ่งปัจจุบัน กรมฝนหลวงฯเข้าสู่ปีที่ 2 แล้ว
ปัจจุบันกรมฝนหลวงได้มีการปรับแผนการปฏิบัติงาน เพื่อสนองนโยบายจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และกระทรวงเกษตรฯ โดยที่ไปเปิดหน่วยที่จังหวัดตาก ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา เพื่อทำการปฏิบัติการเพื่อเติมน้ำในเขื่อนสำหรับเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติติ์ และเขื่อนแควน้อย เนื่องจากเขื่อนเหล่านี้เป็นเขื่อนขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างลงมาถึงพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นที่เพาะปลูกหลักของประทศไทย
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล รองอธิบดี รักษาการอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่าสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆขณะนี้ ถือว่าลดต่ำกว่าความจุ เช่น เขื่อนภูมิพล อยู่ที่ 30% เขื่อนสิริกิตติ์ อยู่ที่ 34% ซึ่งเป็นปริมาณน้ำที่ค่อนข้างน้อย ค่าเฉลี่ยของปริมาณฝนทั่วประเทศ จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 14% ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นในลักษณะฝนทิ้งช่วง ส่วนพื้นที่ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมากจะอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง และพื้นที่ภาคกลาง เนื่องจากพายุที่ปกติควรจะมีพัดผ่านเข้ามายังประเทศไทยบ้าง ปีนี้เข้ามาน้อยมาก จะได้แถวภาคเหนือตอนบนนิดหน่อย เช่น เชียงราย ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้แถว จ.หนองคาย นครพนม เป็นต้น
ตามแผนเดิมกรมฝนหลวงฯ จะเริ่มปฏิบัติการ ช่วยเหลือเกษตร โดยในช่วงเดือน มิ.ย. –ก.ค. ของทุกปี จะเป็นการทำงานในลักษณะการช่วยเหลือในเรื่องของฝนทิ้งช่วง ส่วนในช่วงเดือน ส.ค.- ต.ค. ของทุกปี จะเป็นการเติมน้ำในเขื่อน แต่ปีนี้เนื่องจากสถิติข้อมูลทำให้รู้ว่าฝนค่อนข้างจะทิ้งช่วงและมาช้ากว่าปกติ ดังนั้น ในปีนี้กรมฝนหลวงจึงต้องทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไป โดยเริ่มต้นเติมน้ำในเขื่อนตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมฝนหลวงฯ เป็นต้น ปีนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดเอลนิญโญ่ค่อนข้างมาก โดยความรุนแรงของปรากฏการณ์นี้น่าจะอยู่ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีผลกระทบทำให้เกิดความแห้งแล้งมากขึ้น
นายสุรสีห์ กล่าวต่อด้วยว่า ขณะนี้ได้เพิ่มเรื่องของเทคนิคการทำฝน 2 แบบ คือ การทำเมฆอุ่นกับเมฆเย็น หรือเทคนิคซุปเปอร์แซนวิช ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้คิดค้นวิจัย จดเป็นสิทธิบัตรและได้รับรางวัลบรัสเซลส์ ยูเรก้า (Brussels Eureka) ซึ่งการทำเมฆอุ่น คือการทำเมฆที่มีอุณหภูมิสูง หรือเมฆที่อยู่ค่อนข้างต่ำ หรืออยู่ที่ประมาณ 7,000-18,000 ฟุต ส่วนเมฆเย็น คือ เมฆชั้นบน จะมีอุณหภูมิต่ำ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางขึ้นไป ประมาณ 20,000 ฟุต โดยวิธีการทำฝนได้ยึดหลักการตามตำราฝนหลวงพระราชทาน
ส่วนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีแนวโน้มว่าปริมาณฝนจะค่อนข้างดี มีหลายเขื่อนที่ปริมาณน้ำค่อนข้างดีอยู่ อย่างเช่น เขื่อนสิรินธร มีแนวโน้มว่าน้ำอาจจะล้นเขื่อนได้ เพราะฉะนั้นการทำงานของกรมฝนหลวงจึงมีหน้าที่อยู่ 2 ภารกิจ คือ ในพื้นที่การเกษตรกรณีที่ฝนทิ้งช่วง และเติมน้ำในเขื่อน กรณีเขื่อนสิรินธรถ้ามีแนวโน้มที่จะล้นเขื่อน หรืออาจจะมีมรสุมเข้ามา กรมฝนหลวงต้องมีการวางแผนดีๆ เพราะการทำฝนต้องไม่มีผลกระทบต่อเขื่อนสิรินธร ขณะเดียวกันอาจมีเขื่อนหลักๆ สำคัญอื่นๆ เช่น เขื่อนลำปาว ก็ไปบินทำให้เพราะปริมาณน้ำน้อย แต่ความจุค่อนข้างเยอะ เราทำให้ทั่วประเทศ
สำหรับพื้นที่ที่เกิดความแห้งแล้ง และต้องการทำฝนหลวง เกษตรกรสามารถร้องขอการทำฝนหลวงมาได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยสามารถแจ้งมาได้ที่ ศูนย์ต่างๆที่มีอยู่ทั่วประเทศ หรือแจ้งมาที่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร หรือ ที่องค์กรส่วนท้องถิ่น หรือแจ้งที่เกษตรกรหรือผู้นำชุมชนที่เป็นอาสาสมัครฝนหลวง กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี