29 ก.ค.57 ในที่สุด “คดีมรดกเลือด” ของ “ตระกูลธรรมวัฒนะ” ก็จบลงแบบสวยงามเหนือความคาดหมาย หลังจากที่ต้องสังเวยคนในตระกูลไปถึง 5 ศพ ตั้งแต่ “อาคม ฉัตรชัยยันต์” สามีคนที่ 2 ของเจ้าของมรดก “สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ” ศพที่สองคือ “กุสุมา ธรรมวัฒนะ” บุตรสาวคนที่ 2 ศพที่สามคือ “นัยนา ตามประกอบ” บุตรสาวคนที่ 7 ศพที่สี่คือ “ผู้ใหญ่แดง เทอดชัย” ลูกติดสามีคนแรกของนางสุวพีร์ และศพสุดท้ายล่าสุดคือ “ห้างทอง ธรรมวัฒนะ” บุตรชายคนโต ที่ยิงตัวเองตายท่ามกลางปริศนานานัปการ
จุดเริ่มต้นของมรดกเลือดนั้น เกิดขึ้นจากฝีมือของแม่ค้าขายผัก “สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ” ด้วยความที่ในวัยเด็กฐานะของครอบครัวยากจนมาก จึงต้องทำงานหาเงินเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย เริ่มจากการพายเรือขายผักอยู่ตามริมคลองแถบลาดกระบัง ต่อมาแต่งงานมีครอบครัวเป็นครั้งแรก มีบุตรชาย ด้วยกัน 1 คนคือ นายเทอดชัย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ของผู้ใหญ่แดง แต่ชีวิตหลังแต่งงานก็ไม่ราบรื่นจึงเลิกลากันไป
ต่อมา “สุวพีร์” ได้มาเริ่มต้นสร้างครอบครัวใหม่กับ “อาคม ฉัตรชัยยันต์” จนกระทั่งมีลูกด้วยกันถึง 9 คน คือ ห้างทอง , กุสุมา , นพดล , มัลลิกา , คนึงนิตย์ , นฤมล , นัยนา , ปริญญา และนงนุช และสร้างฐานะมั่นคง ร่ำรวยมหาศาลจนเป็นจุดกำเนิดของ “มรดกเลือดธรรมวัฒนะ” ในเวลาต่อมา
“สุวพีร์” เริ่มต้นสร้างฐานะด้วยการเปิดกิจการปั๊มน้ำมันเล็กๆ แห่งหนึ่ง แถวบางขุนพรหม รวมทั้งการรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว ต่อมาตัดสินใจเปิดร้านอาหารชื่อ “ศรีฟ้า” ที่สี่แยกเกียกกาย เพื่อ จำหน่ายอาหารให้กับทหารในกรม ปตอ.ซึ่งอยู่ในละแวกนั้น จนกลายเป็นโอกาสที่ทำให้นางสุวพีร์ได้รู้จัก กับนายทหารอาวุโสหลายนาย
ด้วยความที่ “สุวพีร์” ต้องขึ้นลงเรือที่สะพานใหม่บ่อยครั้ง ทำให้เริ่มมองเห็นว่าที่ดินย่านสะพานใหม่จะไปได้ดีในอนาคต เธอจึงเริ่มหาเงินมาซื้อที่ดินในย่านนี้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองท่ามกลางเสียงคัดค้านของญาติพี่น้อง “สุวพีร์” ตัดสินใจกู้ยืมเงินจากบุคคลและสถาบันการเงินเพื่อซื้อที่ดินผืนนี้ อาทิ นายเธียร นางทรัพย์ เขียงขำแสง นายสุขุม นวพันธุ์ นางสาวยัสปาล กอร์ และธนาคารกรุงไทย
หลังจากนั้น เธอก็พลิกที่ดินให้กลายเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ในย่านบางเขน เช่น ติดต่อกับหน่วยราชการเพื่อขอใบอนุญาตเปิดตลาด แต่ที่ดินติดกับรั้วของทหารอากาศ ทำให้เธอไปขออนุญาตกับจอมพลฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี ผู้บัญชาการทหารอากาศในขณะนั้น เมื่อ ผบ.ทอ. เปิดไฟเขียวให้ตลาดสดยิ่งเจริญเปิดทำการเป็นวันแรกในวันที่ 11 ส.ค. 2498
เมื่อตลาดเปิด ได้ลงทุนประชาสัมพันธ์ตลาดอย่างหนัก สูญเสียทรัพย์สินไป เป็นจำนวนมาก บางครั้งถึงขนาดยอมให้คนเช่าฟรีเพื่อแลกกับการให้คนรู้จัก เมื่อรู้จักกันมากขึ้น รายได้จากค่าเช่าก็แพงขึ้น เธอนำรายได้นี้ไปซื้อที่ดินย่านดอนเมืองลามไปถึงปทุมธานี ฉะเชิงเทรา กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สมบัติ ทั้งอสังหาริมทรัพย์และเงินสดมากถึงกว่าหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
โศกนาฏกรรมของตระกูล “ธรรมวัฒนะ” จึงเริ่มต้นขึ้นจากผลประโยชน์และการล้างแค้นแทบทั้งสิ้น ศพแรก “อาคม ฉัตรชัยยันต์” ที่ถูกลอบยิงเสียชีวิตในปี 2509 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นสันนิษฐานว่า เป็นการขัดผลประโยชน์กิจการโรงฆ่าสัตว์ ต่อมาปี 2522 “สุวพีร์” ถูกลอบยิงบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นอัมพาต ต้องนั่งรถเข็นและหลบหนีไปรักษาตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมกับมอบหมายให้ “กุสุมา” บุตรคนที่ 3 ดูแลผลประโยชน์ของตระกูลทั้งหมด
30 ก.ย.2525 “กุสุมา” ก็กลายเป็นศพที่ 2 สังเวยกองมรดกเลือด เมื่อถูกลอบยิงเข้าที่ศีรษะในระยะเผาขนระหว่างที่เดินตรวจตลาดยิ่งเจริญ ตำรวจสามารถจับมือปืนได้ ซึ่งผู้สังหารได้ซัดทอดว่านายบวร ธรรมวัฒนะ ผู้เป็นอา และหลานสาวอีก 2 คนเป็นผู้บงการฆ่าหวังฮุบมรดก ซึ่งภายหลังศาลฎีกาตัดสินยกฟ้อง ในเดือนมีนาคม 2526 “สุวพีร์” ตัดสินใจเดินทาง กลับมาจากต่างประเทศและลงมือดูแลกิจการด้วยตนเองอีกครั้ง
ในที่สุดวันที่ 22 เม.ย.2533 “สุวพีร์” ก็สิ้นใจด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งก่อนเสียชีวิตเธอได้พยายาม ใช้ปากกาเขียนตัวหนังสือใส่กระดาษให้ลูกๆ ไว้ว่า “รักสามัคคี” จากนั้นจึงมีการเปิดพินัยกรรมเพื่อแบ่งสมบัติให้ลูกๆ ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ “นัยนา ตามประกอบ” บุตรสาวคนที่ 8 ซึ่งถูกตัดออกจากกองมรดก เพราะหนีไปแต่งงานกับ “พ.ต.ท.สมาน ตามประกอบ” ก็ได้รับส่วนแบ่งนี้เช่นกัน
เรื่องราวอาถรรพณ์ของตระกูล “ธรรมวัฒนะ” น่าจะจบสิ้นลง แต่ความตายก็ยังไม่หลุดพ้นไปจากคนในตระกูลเมื่อ “นัยนา” เสียชีวิต เป็นศพที่สาม โดยสภาพของศพนั้น มือถูกล็อกด้วยกุญแจมือทั้งสองข้าง ฆาตกรฟันและยิงอย่างทารุณ นำศพยัดใส่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปทิ้งไว้ที่จังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นเริ่มมีปิดปากผู้รู้เห็น เมื่อตำรวจกลุ่มที่ร่วมขบวนการสังหารโหด 2 คน ได้ถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด อย่างไรก็ดี เป้าของคดีนี้พุ่งไปที่ “ผู้ใหญ่แดง เทอดชัย”
เมื่อตกเป็นเป้าพาดพิงว่าเป็นผู้บงการ “ผู้ใหญ่แดง” ก็เปิดแถลงข่าวเคลียร์ความบริสุทธิ์ พร้อมกับโยงปมประเด็นว่าคนใกล้ชิด “นัยนา” น่าจะรู้เห็นเบื้องหลังการฆาตกรรม แต่แล้วคล้อยหลังเพียงแค่ปีเศษ ผู้ใหญ่แดงก็หายตัวไปอย่างลึกลับขณะเดินทางไปซื้อขายที่ดินที่จังหวัดหนองคาย คาดว่าผู้ใหญ่แดงน่าจะเสียชีวิตเป็นศพที่สี่แล้ว
กระทั่งมาถึงศพที่ 5 เหยื่อรายสุดท้าย “ห้างทอง ธรรมวัฒนะ” พี่ชายคนโตที่ใช้ปืนปลิดชีพตัวเองเสียชีวิตภายในบ้านพัก ซึ่งปริศนาการตายพุ่งเป้าตรงไปที่ทรัพย์สมบัติกองโตและความขัดแย้งของพี่น้องอย่างหนีไม่พ้น พร้อมความขัดแย้งในเหล่าพี่น้อง “นพดล ธรรมวัฒนะ” บุตรชายคนที่สาม ถูกกล่าวหาบงการสังหาร “ห้างทอง” จนถึงวินาทีนี้คดีก็ยังไม่สิ้นสุด
ทว่า ล่าสุด สิ่งที่เหลือเชื่อเหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น เมื่อศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความในคดีที่นายวิกรม ธรรมวัฒนะ บุตรชาย “ผู้ใหญ่แดง เทอดชัย ธรรมวัฒนะ” เป็นโจทก์ยื่นฟ้องญาติพี่น้องตระกูล “ธรรมวัฒนะ” ในความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จจากกรณีเมื่อวันที่ 3 พ.ค.55 โดยน.ส.คนึงนิตย์พร้อมพวกเบิกความเท็จต่อศาลแพ่งในประเด็นสำคัญ ทำให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้นายวิกรมนำหุ้นพิพาทของบริษัท สุวพีร์ ธรรมวัฒนะ จำกัด ไปลงคะแนนเสียงในการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ทำให้นายวิกรมได้รับความเสียหาย แต่ภายหลังการไกล่เกลี่ย ได้ตกลงขายหุ้นกิจการตลาดยิ่งเจริญทั้งหมดให้กับ “นฤมล” บุตรสาวคนที่ 6 ของ “สุวพีร์” เพื่อให้ดำเนินกิจการต่อไป
ในส่วนคดีความทั้งทางแพ่งและทางอาญาที่มีการฟ้องร้องกันภายในครอบครัวธรรมวัฒนะรวม 48 คดีก็จะยกฟ้องทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการปิดฉากคดีพิพาทแย่งมรดกในตระกูลธรรมวัฒนะที่ยาวนาน กับยุติคำพูดที่ว่า หลัง “สุวพีร์” ตายครบ 20 ปี สมบัติค่อยแบ่ง
อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง
'ธรรมวัฒนะ'ปิดตำนาน'มรดกเลือด' ไกล่เกลี่ยลงตัวสั่งถอนฟ้อง48คดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี