วันที่ 26 สิงหาคม พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.น.4 รับผิดชอบงานสอบสวนคดีรับจ้างอุ้มบุญ เปิดเผยว่า ตำรวจได้ออกหมายเรียก นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนกุล แพทย์เจ้าของ ออลไอวีเอฟ คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินารีเวช ที่มีส่วนพัวพันกับการทำอุ้มบุญไปแล้ว 1 ครั้ง แต่ นพ.พิสิฐ ยังไม่เข้ามาให้ปากคำ ตำรวจจึงจะออกหมายเรียกอีกครั้ง หากยังไม่เข้ามาให้ปากคำ ก็จะออกหมายจับทันที อย่างไรก็ตามต้องดูถึงสาเหตุ นพ.พิสิฐ ไม่สามารถมาให้ปากคำได้ด้วย
พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวว่า ตำรวจทำงานกันอย่างเต็มที่ โดยประสานงานกับทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คดีมีความคืบหน้าไปมาก ส่วนกรณีที่มีแม่อุ้มบุญออกมาระบุว่า มีตัวแทนที่ติดต่อให้ทำอุ้มบุญ ให้ช่วยโกหกในการเลี้ยงดูเด็กว่า ไม่สามารถเลี้ยงได้เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการยกเด็กให้กับบุคคลอื่นนั้น ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวนอยู่ หากพบว่า เข้าไปเกี่ยวข้องหรือเป็นช่องทางในการช่วยเหลือผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่ก็สามารถดำเนินการตามกฏหมายได้
บ่ายวันเดียวกัน ที่ สน.ลุมพินี พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สน.ลุมพินี เปิดเผยว่า ได้ทำการสอบปากคำ นางวิภาดา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี หนึ่งในแม่อุ้มบุญให้กับนายชิเกตะ มิตซูโตกิ ทายาทมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง โดย นางวิภาดา ระบุว่า นายชิเกตะ ว่าจ้างให้นายหน้าติดต่อมา โดยมีค่าจ้างอุ้มบุญ 3 แสนบาท พร้อมยอมรับว่า ได้ตรวจรักษาและฉีดตัวอ่อนกับ นพ.พิสิฐ ที่คลีนิกออลไอวีเอฟ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 และได้คลอดทารกเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาที่ รพ.พญาไท 2 ตั้งแต่คลอดบุตรมายังไม่เคยได้พบกับ นายชิเกตะ ซึ่งสอดคล้องกับ น.ส.ดวงฤดี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 31 ปี ที่ให้การว่า ตรวจสุขภาพและฉีดตัวอ่อนกับ นพ.พิสิฐ ในช่วงเวลาเดียวกับ น.ส.วิภาดา ที่คลีนิกดังกล่าว แต่ช่วงที่ทำคลอดนั้น น.พ.พิสิฐ เป็นผู้ทำคลอดให้เองที่ รพ.พระราม 9 ได้ค่าจ้าง 4 แสนบาท เนื่องจากคลอดลูกแฝดเพศชาย
พ.ต.อ.เดชา กล่าวว่า พนักงานสอบสวนจะรอให้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ เข้าให้ปากคำจนครบทั้ง 11 ราย ก่อนจะสรุปสำนวนส่งฟ้องคดี ทั้งนี้จากการสอบปากคำแม่อุ้มบุญที่ผ่านมา ต่างให้การตรงกันว่า น.พ.พิสิฐ เป็นผู้ฝังตัวอ่อนและทำคลอดให้ โดยวิธีการผ่าคลอด ซึ่งหลังจากนี้ต้องรอให้ นพ.พิสิฐ เข้ามาให้ปากคำ รวมทั้งจะมีการเรียกนายรัฐประทาน ตุลาธร อดีตทนายความของนายชิเกตะ มาสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย
วันเดียวกัน พ.ต.อ.ภาคภูมิ พูลศิริโภคา พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว เปิดเผยว่า นายชิเกตะ ได้แต่งตั้ง นายก้อง สุริยะมณฑล เป็นทนายความ มาทำเรื่องประสานขอนำตัวเด็กอุ้มบุญทั้งหมดไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง นายก้อง ได้นำหนังสือแต่งตั้งทนายความพร้อมหนังสือคำร้อง มาชี้แจงเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องการจะเลี้ยงเด็กอุ้มบุญไว้หลายๆ คน คาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เพราะต้องแปลคำร้องจากภาษาญี่ปุ่น มาเป็นภาษาไทย
ด้าน นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวภายหลัง การประชุมคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2557 เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาถึงหลักเกณฑ์และแนวทางการคุ้มครองเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญ และได้เห็นชอบให้มีการจดแจ้งสิทธิ เพื่อให้แม่อุ้มบุญและเด็กได้รับการคุ้มครองสิทธิ โดยทาง พม.จะเป็นผู้ดำเนินการรับจดแจ้งสิทธิแม่อุ้มบุญ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีแม่อุ้มบุญประมาณ 200 ราย
สำหรับการจดแจ้งสิทธิ์ดังกล่าว จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่นี้เป็นต้นไป โดยเจ้าหน้าที่จะติดต่อเพื่อเข้าไปให้ความคุ้มครองสิทธิของแม่อุ้มบุญ และดูแลเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนคลอด ซึ่งจะไม่มีการเปิดศูนย์ตั้งรับ เนื่องจากพบปัญหาแม่อุ้มบุญไม่อยากเปิดเผยตัว ทั้งนี้ หากแม่อุ้มบุญประสงค์จะแจ้งข้อมูล เพื่อจดแจ้งสิทธิด้วยตนเอง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 หรือในทางลับ เพื่อที่ พม.จะจัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี