คลอดแล้ว สำหรับคณะรัฐมนตรีรัฐบาลตู่ 1 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งและประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันอาทิตย์ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา แค่รอขั้นตอนอีกเล็กน้อยคือ การเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณและการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติ จากนั้นแต่ละคนก็จะเริ่มทำหน้าที่รัฐมนตรีอย่างเป็นทางการได้ต่อไป
สำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นอันได้ตัวเจ้ากระทรวงคนใหม่ ซึ่งเป็นคนหน้าเก่า ลูกหม้อของกระทรวงเองคือ นายปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้เคยนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงเกษตรฯยาวนานกว่า 4 ปีครึ่งตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2541 ถึง 24 เมษายน 2546 ก่อนถูกรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ย้ายพ้นกระทรวงไปเป็นผู้อำนวยการสำนักงานการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน หน่วยงานใหม่ที่ตั้งขึ้นในสมัยนั้น เพื่อทำงานสนองนโยบาย”แปลงสินทรัพย์เป็นทุน”ของทักษิณ และที่สุดก็ปิดฉากชีวิตข้าราชการประจำ เกษียณที่ตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปี 2550
การที่นายปิติพงศ์ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นรมว.เกษตรฯในครั้งนี้ มีข้อสังเกตุเล็กน้อย อาทิ การเข้ามาทำงานในรัฐบาลที่ตัวนายกรัฐมนตรีก็ประกาศเป็นโรดแม็ปไว้ว่า จะอยู่เพียงปีเดียวหรือปีกว่าๆ เมื่อสภาปฏิรูปแห่งชาติที่กำลังจัดตั้งขึ้น คลอดแนวทางปฏิรูปประเทศออกมาแล้ว และมีการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับใหม่เป็นที่เรียบร้อย ก็จะคืนอำนาจให้ประชาชน จัดการเลือกตั้งกันใหม่ เพราะฉะนั้นการที่อายุรัฐบาลไม่ยาวนัก จึงต้องเลือกคนที่”เป็นงาน”มาทำหน้าที่ จะได้เริ่มงานได้ทันที ไม่ต้องมาฝึกงานก่อน จึงเห็นได้ว่า นอกจากนายปิติพงศ์แล้ว ยังมีอดีตข้าราชการระดับสูงอีกหลายคนถูกเลือกมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่ต้องการ คนทำงานที่เข้าใจในงานของกระทรวงนั้นๆดีอยู่แล้ว เช่น กระทรวงการคลัง,กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น หรือแม้บางกระทรวงที่เอาบิ๊กทหารมาเป็นเจ้ากระทรวง ก็ยังใช้อดีตข้าราชการลูกหม้อกระทรวงนั้น มาเป็นรัฐมนตรีช่วย ประกบให้ทำงานได้เลย อย่างกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ แม้กระทรวงเกษตรฯจะเป็นกระทรวงใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลคนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นพี่น้องเกษตรกรทุกภาคส่วน ซึ่งถ้าเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จะตั้งรัฐมนตรีเข้ามาช่วยกันดูแลอย่างน้อยก็ 2 คนขึ้นไป แต่สำหรับรัฐบาลบิ๊กตู่ เลือกให้อำนาจเบ็ดเสร็จแก่นายปิติพงศ์ เป็นรมว.เกษตรฯคนเดียว คุมทั้งหมดเลย
ด้วยความที่นายปิติพงศ์เป็นลูกหม้อเก่าและมีบุคคลิกที่ไม่ใช่คนแข็งกร้าว จึงมีกระแสข่าวว่า ข้าราชการในกระทรวงค่อนข้างสบายใจ หลังจากที่ต้องทนอึดอัดกับรัฐมนตรี”บ้าอำนาจ”ที่มาจากนักการเมือง นักเลือกตั้ง หลายสมัยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดังที่เคยผมเคยเขียนก่อนหน้านี้แล้วว่า ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้าของเจ้ากระทรวงเกษตรฯคนใหม่ ค่อนข้างหนักหนายิ่ง ที่จะต้องมาดูแลผลผลิตการเกษตรหลายอย่างที่กำลังมีปัญหาหนัก โดยเฉพาะเรื่องราคาตกต่ำ แม้จะอยู่ในยุค คสช.ก็ยังมีโอกาสเห็นม็อบเกษตรกรออกมาได้ทุกเมื่อ และว่ากันว่าบุคคลิกแบบนายปิติพงศ์ ไม่ค่อยถึงลูกถึงคน ที่จะออกไปเจอกับม็อบนัก ก็เป็นข้อกังวลหนึ่ง
อีกข้อกังวลหนึ่งก็คือ การเลือกใช้ทีมงานที่จะมาช่วยทำงาน เพราะมีกระแสข่าวว่า ตอนนี้มีทั้งข้าราชการและอดีตข้าราชการจำนวนมาก ที่วิ่งเต้น เข้ามาอาสากับนายปิติพงศ์แล้ว
ที่คนในแวดวงนินทากันก็คือ อดีตข้าราชการระดับอธิบดีบางคน อย่างเช่นคนที่แวดวงเรียกกันว่า”อธิบดีเส็งเค็ง” ผู้มีประวัติฉาวโฉ่ในการรับใช้ หารับประทานให้”ระบอบหลงจู้” แม้เกษียณไปนาน ก็ยังถูกหลงจู้ส่งไปนั่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจด้านโคนม ช่วยกันทำมาหากิน จนล่าสุดก่อนคสช.จะยึดอำนาจ ก็มีปัญหาเงิน”นม”หายไปหลายล้าน แต่เจ้าตัวชิงลาออก หลังถูกยึดอำนาจ...ตอนนี้ก็มาวิ่งอาสาขอเป็นที่ปรึกษาให้กับนายปิติพงศ์ด้วย
ฉะนั้นเมื่อเป็นรัฐมนตรีหนึ่งเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในกระทรวงเกษตรฯ จึงยิ่งต้องระวังพวก”เหลือบ”ที่จะมาขออาศัยเกาะกินให้ดี ต้องเฟ้นหาทีมงานที่จะทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตจริงๆ
โปรดอย่าลืมว่า บิ๊กตู่ได้ประกาศไว้แล้วสำหรับรัฐมนตรีทุกคนว่า “ถ้าโกงจะจับติดคุก ใครห่วยก็จะปลดให้หมด” ถ้าให้”เหลือบ”มาทำงานให้ ระวังจะติดร่างแหไปด้วย
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี