เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการประชุมอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน(อ.ก.พ.) กรมราชทัณฑ์ ว่า ที่ประชุมได้มีมติไล่ออกข้าราชการกรมราชทัณฑ์ที่เกี่ยวข้องและพัวพันกับยาเสพติด และการลักลอบนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปภายในเรือนจำ จำนวน 14 ราย โดยผู้ถูกลงโทษ อยู่ในตำแหน่งชำนาญการ ปฏิบัติการ และปฏิบัติงาน ไปตามลำดับ
สำหรับข้าราชการที่ถูกไล่ออกเหล่านี้ ได้กระทำความผิด ในลักษณะต่างๆ ได้แก่ ถูกเจ้าพนักงานอื่นจับกุมในข้อหาครอบครองยาเสพติด จำนวน 3 ราย ซึ่งถูกคำสั่งไล่ออกจากราชการและดำเนินคดีอาญาควบคู่ ส่วนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อีก 10 ราย ถูกลงโทษให้ไล่ออกจากการลักลอบนำโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งยาเสพติด และสิ่งของต้องห้ามอื่นๆ เข้าในเรือนจำ และอีก 1 ราย มีความผิดฐานละทิ้งหน้าที่เกินกว่า 15 วัน ซึ่งการดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการเหล่านี้ ล้วนปรากฎทางหลักฐานชัดเจน ทาง อ.ก.พ.กรมราชทัณฑ์ จึงมติไล่ออกดังกล่าว
“การดำเนินการทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เป็นนโยบายสำคัญของกรมที่จะเร่งปราบยาเสพติดและโทรศัพท์มือถือภายในเรือนจำให้ได้มากที่สุด โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมามีการลงโทษข้าราชการด้วยการไล่ออกไปแล้ว 9 ราย ให้ออก 7 ราย และย้ายเรือนจำ 51 ราย และยังไม่รวมถึงการลงโทษด้วยวิธีการอื่น เช่น การกักบริเวณ การเพิ่มเวรยาม และการขังตามพระราชบัญญัติวินัยข้าราชการราชทัณฑ์ พ.ศ. 2482 อีกด้วย ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมาตรการสำคัญตามนโยบาย คสช. ในการปราบมือถือและยาเสพติดในเรือนจำ คือการลงโทษเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลา 03.00 น. วันเดียวกัน หน่วยผสม พลเรือน ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ของอำเภอ ภูหลวง ได้ร่วมกันตั้งด่านตรวจเพื่อรักษาความสงบ บริเวณบ้านห้วยท่า ต.เลยวังไสย์ อ.ภูหลวง หลังได้รับแจ้งจากสายว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดผ่านเส้นทาง อ.วังสะพุง–อ.ภูหลวง จ.เลย มุ่งหน้าไปเขตพื้นที่ อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ จนกระทั่งได้มีรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีดำ ทะเบียน กต. 0497 สุราษฎร์ธานี แล่นผ่านมา จึงได้เรียกตรวจค้น
โดยเมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายรถ พบกล่องกระดาษบรรจุสิ่งของ คนขับบอกว่าเป็นกล่องอาหาร แต่แล้วคนขับได้วิ่งกลับเข้าไปในรถแล้วเร่งเครื่องหนี เจ้าหน้าที่คว้ากล่องกระดาษไว้ได้ ตรวจสอบพบว่า เป็นเฮโรอีนแท่ง จำนวน 51 แท่ง น้ำหนักรวม 22 ก.ก. จึงได้ใช้รถยนต์เร่งติดตามรถเก๋งคันดังกล่าว แต่คนขับอาศัยความมืดหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังควบคุมพื้นที่และตรวจสอบกระทั่งในเวลาต่อมา พบว่า คนร้ายได้นำรถไปจอดไว้ในบ้านพักในสวนยางแห่งหนึ่ง หลังศาลาชมวิว ห่างจากจุดตรวจบ้านห้วยท่าไปประมาณ 2 กม. จึงจัดกำลังปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคียง
จนถึงเวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่พบตัว นายณัฐบูรณ์ บุรีรัตน์ อายุ 43 ปี บ้านเลขที่ 96 หมู่ 2 ต.สมอทอง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเจ้าหน้าที่จำได้ว่าเป็นคนที่ขับรถเก๋งหลบหนีด่านตรวจ จึงได้จับกุมตัวไว้ พร้อมกับ นางอรอนงค์ แก้วขาว อายุ 33 ปี บ้านเลขที่ 49 หมู่ 2 ต.ลำเหย อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ที่นั่งมาในรถคันเดียวกัน
นายณัฐบูรณ์ รับสารภาพว่า ระหว่างที่ขับรถหนี ได้นำของกลางไปทิ้งลงในพื้นที่หมู่บ้านโนนพัฒนา ห่างจากจุดที่ถูกจับกุมไปประมาณ 3 กม. เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไปค้นหาของกลาง พบว่า เป็นเฮโรอีนชนิดแท่งวางอยู่ริมรั้วอีก 3 กระสอบปุ๋ย จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางมาทำการสอบสวนเพิ่มเติม ที่ สภ.ภูหลวง
จากการตรวจสอบเพิ่มเติม ทราบว่า รถเก๋งที่ใช้บรรทุกเฮโรอีน เป็นทะเบียนของ นายอภิชาต โภคภิรมย์ ชาว จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนเฮโรอีนแท่ง ที่ยึดได้ทั้งสองครั้ง มีน้ำหนักรวม 155 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 186 ล้านบาท แต่หากหลุดรอดออกไปนอกประเทศจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ทำการจากการตรวจค้นรถเก๋งที่ใช้คนเฮโรอีน ปรากฎว่าพบยาบ้าอีกจำนวน 40,000 เม็ด จากนั้น เจ้าหน้าที่นำตัวคนร้ายทั้ง 2 คน มาที่ สภ.ภูหลวง อ.ภูหลวง จ. เลย เพื่อทำการสอบสวนขยายผลต่อไป
ทางด้านพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รับผิดชอบงานด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สุรพล ทวนทอง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) จัดทีมลงไปร่วมสืบสวนขยายผลร่วมกับตำรวจภูธรภาค4ในคดีดังกล่าวเพื่อให้ทราบว่าเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหากลุ่มนี้มีใครบ้าง
โดยเฉพาะเฮโรอีนล็อตใหญ่กว่า 100 กก.ที่ยึดได้มีแหล่งผลิตจากที่ไหนและจะนำส่งไปยังที่ใด
“จากข้อมูลเบื้องต้นเชื่อว่าเป็นเฮโรอีนที่มีแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เดิมทีมักส่งผ่านตามแนวชายแดนเข้ามาทาง จ.เชียงราย แต่เมื่อมีการสกัดกั้นอย่างเข้มข้นจึงผ่านเข้ามาทาง จ.เลย เช่นเดียวกับยาบ้า ส่วนปลายทางส่วนใหญ่ก็จะผ่านไปทางภาคใต้ก่อนที่จะส่งต่อไปยังกลุ่มผู้ค้าในประเทศมาเลเซีย หรืออาจจะนำไปหีบห่อซุกซ่อนร่วมกับอาหารทะเลแช่แข็งเพื่อส่งต่อไปยังประเทศออสเตรเลีย เหมือนเช่นที่ บช.ปส.เคยจับกุมได้ที่ จ.ระนอง”พล.ต.อ.พงศพัศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี