คำถาม สภาพดินที่ถูกชะล้างพังทลาย จะมีวิธีสังเกตอย่างไรว่า ดินในที่ดินของเรามีสภาพเป็นเช่นนี้ครับ จะมีวิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำ และปรับปรุงดินอย่างไร จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรครับ
คำมิ่ง เมืองเจริญ
อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย
คำตอบ ดินที่มีสภาพการชะล้างพังทลาย เป็นดินที่มีเนื้อดินอินทรียวัตถุ หรือธาตุอาหารพืชถูกชะล้างออกไปจากพื้นที่ในปริมาณสูง โดยน้ำหรือลม สำหรับประเทศไทย น้ำจะเป็นตัวการสำคัญที่สุด โดยมีมนุษย์เป็นตัวเร่งทำให้ดินไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก
วิธีการสังเกตดินที่มีสภาพการชะล้างพังทลาย จะพบร่องรอยการชะล้างพังทลายของดินที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดินที่มีสภาพดังกล่าว ที่มีขนาดและความลึกแตกต่างกันไป อันเป็นผลเนื่องมาจากการไหลกัดเซาะของฝนไปยังผิวดิน สภาพภูมิประเทศ โดยปกติในพื้นที่ที่มีความลาดเทสูง การชะล้างพังทลายของดินก็จะเกิดสูง และในพื้นที่ที่มีความลาดเทต่ำ จะเกิดการชะล้างพังทลายของดินเล็กน้อย หรือไม่มีเลย ถ้าเป็นพื้นที่ราบ พื้นที่ที่จะพบดินที่มีสภาพการชะล้างพังทลาย ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่พบบนพื้นที่ดอนและที่ที่มีความลาดชันสูงมากกว่า 35 เปอร์เซ็นต์
ลักษณะของเนื้อดินและความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติแตกต่างกันไป แล้วแต่ชนิดของหินต้นกำเนิด ในบริเวณนั้น มักมีเศษหิน ก้อนหิน หรือหินพื้น โผล่กระจัดกระจายทั่วไป ส่วนใหญ่พื้นที่ที่พบ ถ้าในลักษณะที่ดอน จะเป็นพื้นที่ที่ทำการปลูกพืชไร่ต่างๆ เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่วต่างๆ และถ้าเป็นพื้นที่ที่สูงจะปกคลุมด้วยป่าไม้ประเภทต่างๆ เช่น ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง หรือป่าดิบชื้น และมีหลายแห่งที่เกษตรกรทำการตัดฟันไม้และเผาเพื่อใช้เป็นที่ทำกินในลักษณะของการทำไร่เลื่อนลอย ส่วนใหญ่พบบนพื้นที่ที่มีความลาดชันบนภูเขาสูงทั่วประเทศ
ผลเสียหายจากที่ดินมีสภาพการชะล้างพังทลาย พื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกชะล้างพังทลาย ผลผลิตพืชที่ปลูกจะลดลงจากเดิม ร้อยละ 25 เนื่องจากธาตุอาหารพืชถูกพัดพาออกไปจากพื้นที่ การใช้ประโยชน์ที่ดินยากลำบาก จากน้ำที่กัดเซาะจะเกิดร่องขนาดเล็กและใหญ่ ยากแก่การไถพรวน ถนนอาจถูกกัดเซาะขาด ทำให้เกิดการทับถมของตะกอนดิน ในนาข้าว แม่น้ำ ลำธาร แหล่งน้ำ ทำให้แม่น้ำลำธาร อ่างเก็บน้ำลดความสามารถในการเก็บกักน้ำ ก่อให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน
หลักการอนุรักษ์ดินและน้ำ คือการปรับสภาพของดินให้สามารถทนทานต่อการถูกชะล้างกัดเซาะ หรือถูกพัดพาให้เคลื่อนที่โดยแรงของน้ำ การคลุมดินให้พ้นจากแรงกระแทกของเม็ดฝนและลม บรรเทาความรุนแรงของกระแสลมและอัตราการไหลบ่าของน้ำ และหาวิธีการลดความแรงและความเร็วของน้ำไหลบ่าจากผิวหน้าดิน
แนวทางการแก้ไข โดยใช้ระบบปลูกพืชขวางความลาดชันของพื้นที่ตามแนวระดับร่วมกับปลูกพืชคลุมดินชนิดต่างๆ การใช้แถบหญ้า ปลูกหญ้าเป็นแถบขวางความลาดชันของพื้นที่ แต่ละแถบห่างกัน 8-10 ม. โดยใช้หญ้าชนิดต่างๆ ปลูกเป็นแถบกว้าง 1 ม. สำหรับหญ้าแฝก ปลูกเป็นแถวเดี่ยว ระยะห่างระหว่างต้น 5-10 ซ.ม. หรือการจัดระบบปลูกพืชแบบผสมผสาน พื้นที่ว่างระหว่างแถบอนุรักษ์ใช้ปลูกพืชไร่ พืชผัก ไม้ดอก และไม้ผล ตามความเหมาะสมของพื้นที่
การอนุรักษ์ดินและน้ำโดยวิธีกล เป็นการทำคันดินขวางความลาดชันของพื้นที่ในพื้นที่ที่ไม่สูงชัน การทำขั้นบันไดดิน หรือการทำคูรับน้ำรอบเขา ในพื้นที่มีความลาดชันสูง
ข้อควรคำนึงคือ การจัดการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ ควรทำควบคู่กัน ได้แก่ การจัดการใช้ที่ดินตามความเหมาะสมของที่ดิน การเตรียมดินและปลูกพืชเป็นแถวตามแนวระดับของความลาดชันของพื้นที่ การใช้เศษพืชทุกชนิดเป็นวัสดุคลุมดินบำรุงดิน และการปลูกพืชแบบเตรียมดินน้อยครั้ง การปลูกพืชสลับเป็นแถวการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น จะช่วยลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน และเป็นการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ
“นาย รัตวิ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี