สำหรับประเด็นที่ได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงาน ปรากฏว่า 1. การชุดบ่อน้ำตื้นระดับความลึกอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร - 50 เมตร ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระดับน้ำใต้ดินในระยะยาว 2. บ่อน้ำตื้นเหล่านี้ จะปิดการใช้ประโยชน์ในช่วงฤดูฝน 3. จนถึงปัจจุบัน บ่อน้ำตื้นเหล่านี้ยังมีการใช้ประโยชน์อยู่ในพื้นที่เกือบทุกบ่อถึงแม้ระยะเวลาจะผ่านมาแล้วเกือบ 20 ปี 4. มูลค่าการขุดบ่อน้ำตื้นบวกกับปั๊มหอยโข่ง ราคากลางอยู่ที่บ่อละ 10,000 บาท ปัจจุบันราคากลางการขุดบ่ออาจจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณบ่อละ 13,000 - 15,000 บาท ถ้ามีการขุดบ่อบาดาลน้ำตื้นดังกล่าวในพื้นที่ที่สามารถขุดเจาะได้จำนวนหนึ่งล้านบ่อ รัฐบาลจะใช้งบประมาณไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นงบประมาณที่ไม่มากนัก แต่ว่าจะสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
ที่ผมได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาว่า การที่กรมชลประทานไม่สามารถปล่อยน้ำให้เกษตรกรทำนาในฤดูแล้งได้นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรจะหามาตรการอื่นมาช่วยเหลือชาวนาเพื่อให้มีงานทำและมีรายได้ โดยพยายามหามาตรการมาช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถไม่ใช่ปล่อยให้เกษตรกรช่วยเหลือตัวเองไปตามยถากรรม โดยที่รัฐบาลไม่รับผิดชอบอะไรเลย
โครงการขุดบ่อบาดาลหรือบ่อน้ำตื้นเพียงหนึ่งบ่อ เกษตรกรสามารถที่จะใช้น้ำปลูกพืชผัก หรือพืชอายุสั้นได้ถึงประมาณ 5 ไร่ หากมีการลงทุนขุดบ่อบาดาลให้ชาวบ้านในเขตลุ่มเจ้าพระยาหนึ่งล้านบ่อ จะมีน้ำใช้เพื่อการเกษตร โดยการปลูกพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อยได้ถึงประมาณ 5 ล้านไร่ เกษตรกรได้รับประโยชน์ถึงหนึ่งล้านครอบครัว ซึ่งถึงแม้จะไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นมาตรการที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่จะช่วยเหลือเกษตรกรในยามวิกฤติเช่นนี้
โครงการขุดบ่อบาดาลน้ำตื้นเป็นเพียงมาตรการหนึ่งในหลายๆ มาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรได้ในช่วงฤดูแล้ง และไม่ใช่เป็นโครงการประชานิยมอย่างแน่นอน และหากสามารถขุดบ่อน้ำตื้นให้เกษตรกรในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ก็จะเกิดประโยชน์แก่ชุมชนอย่างมากมาย เช่นเดียวกันกับการสนับสนุนงบประมาณให้แก่เกษตรกรในการขุดสระน้ำ (Farm Pond) ในไร่นาของเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขาดแคลนโครงการชลประทาน เกษตรกรก็จะสามารถกักเก็บน้ำในฤดูฝนได้ใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชอายุสั้นและเพื่อการอุปโภคบริโภคในฤดูแล้งได้อีกด้วย ก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งที่จะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและจะอยู่คู่กับไร่นาของเกษตรกรตลอดไป
การที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะแจกเงินให้แก่ชาวนาที่เป็นเจ้าของที่นาของตนเองไร่ละ 1,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ โดยใช้งบประมาณถึง 40,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ทำไมต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถามว่าชาวนาที่เป็นผู้เช่าที่นาเขาทำ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ จะทำนาก็ไม่ได้เพราะไม่มีน้ำในการทำนาในฤดูแล้ง ชาวนาที่เช่านาทำเหล่านี้ เป็นผู้ที่ยากจนมากกว่าชาวนาผู้ที่มีที่นาเป็นของตนเอง และรัฐบาลจะมีนโยบายช่วยเหลือเขาอย่างไร รวมทั้งเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่นด้วย ดังนั้นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยการขุดบ่อน้ำตื้นหรือขุดสระน้ำ (Farm Pond) ให้แก่เกษตรกรนี้คือการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างยั่งยืน ก่อให้เกิดการจ้างงาน การกระจายรายได้ในชนบทในการขุดบ่อ ขุดสระดังได้กล่าวมาแล้ว เกษตรกรจะสามารถมีน้ำใช้ได้ตลอดไป และอาจจะมีการลงทุนน้อยกว่า 40,000 ล้านบาท ที่ให้ผลประโยชน์แก่ชาวนาเพียงบางกลุ่มเท่านั้น
ผมได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของคุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ที่ได้บอกว่า “ไม่ทราบว่าโครงการแจกเงินให้ชาวนาเกิดขึ้นได้อย่างไร ถามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ไม่ทราบเรื่อง” ทำให้ผมสงสัยว่า ทำไมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงไม่ได้เสนอแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นแนวคิดและนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งน่าจะเข้าใจปัญหาและความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรมากที่สุด ทำไมจึงให้กระทรวงพาณิชย์หรือภาคเอกชนชี้นำมาโดยตลอด ผลจากการชี้นำของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนที่ผ่านมา ผลประโยชน์นั้นจะตกอยู่กับภาคเอกชนเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน จะกลายเป็นว่า “กระทรวงพาณิชย์และเอกชนคิด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ทำ”
อนันต์ ดาโลดม
นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี