{อ่านเรื่องนี้ให้จบเสียก่อน แล้วค่อยทำอย่างวงเล็บปีกกา ที่อยู่ในตอนท้ายสุด}
การศึกษาควรสอนและปลูกฝังเรื่องคุณธรรม จริยธรรมของหลักศาสนาเข้าไปในวิชาพื้นฐานที่เรียน ซึ่งเป็นแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษาด้วยบูรณาการหลักศาสนาอิสลาม ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ของสังคมวันนี้
จากการสำรวจสำมะโนประชากรพบว่ามีจำนวนผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทยประมาณ 3-5 ล้านคน แต่ตำราในการเรียนการสอนนั้นยังขาดการประยุกต์เนื้อหาให้เหมาะกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม มูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย (สสม.) จึงร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงาน “เสวนาปฏิรูปการศึกษาด้วยบูรณาการและเปิดตัวหนังสือสุขศึกษา-พลศึกษาบูรณาการอิสลาม” เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา
ศ.ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษถึงทิศทางการปฏิรูปการศึกษากับสังคมพหุวัฒนธรรม ว่า กระทรวงศึกษาธิการจะปฏิรูปการศึกษาทิศทางใหม่ 5 แนวทางคือ (1)เปลี่ยนระบบการเรียนทางวิชาการเป็นหลัก สู่การสร้างทักษะการคิดและความฉลาดที่จะใช้ชีวิต(2)ปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์การมีงานทำและการใช้ชีวิตอย่างเท่าทัน (3)จัดการศึกษาเชิงพื้นที่ที่ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม (4)ปรับกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะกับสังคมพหุวัฒนธรรมเพื่อให้แต่ละคนค้นหาและใช้ศักยภาพของตนเองได้สูงสุด (5) ส่งเสริมการศึกษาโดยสรรค์สร้างการเรียนรู้แบบองค์รวมและสมดุลในการใช้ชีวิต เพื่อสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็น ว่า “วันนี้การศึกษาไทย ควรเป็นการคืนความสุขในการเรียนรู้ให้กับเด็กไทย รวมถึงสร้างอนาคตให้เด็กไทยมีสัมมาชีพ ใฝ่เรียนรู้และสามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต”
ด้าน รศ.ดร.อิศรา ศานติศาสน์ ประธานมูลนิธิสร้างสุขมุสลิมไทย กล่าวถึงการจัดทำตำราแบบบูรณาการ ว่า ทีมวิจัยได้สร้างหลักสูตรบูรณาการขึ้นมาใหม่ ภายใต้ตำราของกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากตำราทั่วไปมีเนื้อหาไม่เหมาะกับการสอนนักเรียนมุสลิม
รศ.ดร.อิศรา กล่าวว่า “โอกาสนี้จึงนำตำราสุขศึกษา-พลศึกษามาเป็นวิชานำร่องบูรณาการเพื่อสอดแทรกเรื่องโภชนาการ
การออกกำลังกาย และคำสอนภายใต้ศาสนาอิสลาม จากนั้นจึงสอดแทรกเข้าไปในตำราคณิตศาสตร์ และตำราวิทยาศาสตร์ซึ่งการบูรณาการหลักศาสนาอิสลามเข้าไปในหนังสือเรียนนั้นช่วยตอบโจทย์หมู่พี่น้องชาวมุสลิมที่ต้องการให้ลูกหลานได้เรียนศาสนาควบคู่วิชาสามัญ”
เช่นเดียวกับ รศ.ดร.อิบราฮีม ณรงค์รักษาเขต รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี เล่าถึงการบูรณาการหลักสูตรที่ร่วมทำว่า โจทย์ของพื้นที่ภาคใต้ที่นำร่องคือ เด็กใช้เวลาเรียนมากเกินไป แต่กลับมีผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการตกต่ำ อีกทั้งบางวิชาใช้ภาพข้อห้ามทางหลักศาสนาอิสลาม เช่น ภาพกระปุกออมสินรูปหมู จึงทำให้เด็กมุสลิมต่อต้าน ไม่อยากเรียน
รศ.ดร.อิบราฮีม ย้ำว่า “เมื่อผลสัมฤทธิ์ออกมาในแง่ลบ จึงต้องใช้หลักบูรณาการของศาสนาเข้าไปในตำราเรียน เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทั้งในเรื่องของวิชาการ และหลักของศาสนา เป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมวัฒนธรรม คำสอนของอิสลามเข้าไป เพื่อให้เด็กซึมซับเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตด้วย”
สอดคล้องกับ เรืองรัตน์ วงศ์ปราโมทย์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายความร่วมมือกับต่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปว่า แผนปฏิรูปจะใช้วิธีการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area – based approach) โดยสนับสนุนองค์ความรู้ต่างๆ ของชุมชน เพื่อเปิดพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมกัน รวมถึงการสนับสนุนให้มีการเรียนการสอน“ทวิภาษา” การใช้ 2 ภาษาทั้งภาษาหลักของชุมชนและภาษาราชการในการเรียนการสอน ก็เพื่อให้นักเรียนในจังหวัดชายแดนใต้สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้
ส่วนทางด้าน อารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาฯ ให้ความเห็นว่า การพัฒนาประเทศต้องคำนึงถึง “คน” ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ศาสนา ต้องจัดคนให้อยู่ในการศึกษาที่ถูกต้องเพื่อปิดช่องว่างของความแตกต่างสอนและปลูกฝังให้เด็กไทยมีความรู้คู่คุณธรรมตั้งแต่ช่วงชั้นอนุบาล และพัฒนาให้เป็นคนเก่งและฉลาด จะทำให้ประเทศพัฒนาด้วยเด็กที่เติบโตแบบมีคุณภาพ
เมื่อการศึกษาได้รับการบูรณาการให้เข้ากับการศึกษาของแต่ละศาสนา วัฒนธรรม และท้องถิ่น ย่อมส่งเสริมให้
เด็กสนุกกับการเรียนรู้ และรู้จักคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองได้ในท้ายที่สุด{ลองแสดงความคิดเห็น เชิงประชาพิจารณ์ออกมากันบ้าง ซิคะ “ปานมณี” คิดว่า จะได้ทำให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี