30 ต.ค. 57 นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ว่าได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ เร่งทำยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาและอนุรักษ์กระบือไทย เสนอ ครม.ภายใน 2 สัปดาห์ เนื่องจากปัจจุบันปริมาณกระบือไทยมีจำนวนลดลงอย่างมาก จนถึงขั้นวิฤกติและอาจสูญพันธุ์ในไม่กี่ปีนี้ หากไม่เร่งพัฒนาและอนุรักษ์คาดว่าไม่เกิน 5 ปี กระบือไทยจะสูญพันธุ์ เพราะมีการส่งออกมากกว่าปริมาณผลผลิตได้ในประเทศ แม้แต่ลูกกระบือถูกส่งไปประเทศจีนเกือบหมด โดยส่งผลให้ในอนาคตขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์กระบือไทยอย่างแน่นอน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการต่อเนื่องเพื่อรักษาสมดุลย์และอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุ์กรรมของกระบือไทยไว้ให้คู่กับสังคมไทยต่อไป
“หากไม่ทำ ไม่เกิน 5-6 ปีควายไทยสูญพันธุ์หมดแน่ ในอนาคตเด็กไทยอาจจะมองหาควายได้ยาก เด็กไทยจะไม่รู้จักเพลงเจ้าทุยอยู่ไหน ซึ่งการพัฒนากระบือในเชิงสังคมไทย ซึ่งควายเป็นทั้งสัตว์เลี้ยงของเกษตรกร เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ และเป็นการเลี้ยงเพื่ออาชีพเพื่อการบริโภคทั้งในประเทศและเพื่อการส่งออก" นายปีติพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้การทำโครงการดังกล่าว ต้องหยุดการส่งออกควายตัวเมีย และลดการนำตัวเมียไปทำผลิตภัณฑ์ เพราะขณะนี้มีสัดส่วนลดลงเฉลี่ยปีละ 1 แสนตัว โดยในปัจจุบันมีปริมาณกระบือ 8 แสนตัว นำเข้าจากประเทศเพื่อบ้าน 2 หมื่นตัว ส่งออก 6-7 หมื่นตัวต่อปี ถือว่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มาก หากภาครัฐไม่เร่งส่งเสริมครบวงจรและพัฒนาพันธุ์กระบือไทย
นอกจากนั้นให้กรมปศุสัตว์ไปจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาโคเนื้อ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และให้ศึกษาความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยด้วย ว่าเมื่อเปิดเสรีทางการค้า หรือ เออีซี แล้วจะได้รับกระทบอย่างไร และหากจะส่งเสริมการเลี้ยงจะต้องอยู่ปริมาณเท่าไหร่ เพื่อรองรับความต้องการในประเทศ ที่ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านปีละ 2 แสนตัว และนำเข้าเนื้อวัวคุณภาพสูงจากต่างประเทศปีละ 7 พันตัว คาดว่าในปี 58 จะมีปริมาณผลิตได้ 1.04 ล้านตัว พบว่าปริมาณไม่เพียงพอต่อตลาดอีก 3 แสนตัว
และสุดท้ายเรื่องต้นทุนการผลิตของเกษตรกร ที่พบว่าการผลิตโคเนื้อของไทยยังแพงกว่าประเทศในกลุ่มเพื่อนบ้าน ที่อาจจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทน รวมทั้งความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการกำกับควบคุมดูแลโรคระบาดสัตว์ ต้องขอความร่วมมือกับทางกรมปศุสัตว์สหภาพเมียนมา เพื่อสร้างเขตปลอดโรคในการเคลื่อนย้ายสัตว์ทางด่านชายแดน แต่ละปีมีการเคลื่อนย้ายสัตว์มีชีวิตระหว่างไทย-พม่าถึงปีละ 2–3 แสนตัว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี