18 ธ.ค. 57 พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษา ศธ. ครั้งที่ 1/2557 เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบตั้งคณะอนุกรรมการ 7 ชุด เพื่อดูแลการปฏิรูปแต่ละด้าน ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการดูแลการปรับแก้ไขกฎหมายทั้งหมดในภาพรวมของ ศธ.เสนอให้ ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ เป็นประธาน 2.คณะอนุฯ ดูแลด้านงบประมาณ มี ศ.(พิเศษ) ดร.สมชัย ฤชุพันธ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพัฒนาสยาม 3.คณะอนุฯระบบสารสนเทศและจัดฐานข้อมูลการศึกษา ให้ รศ.ดร.จีระเดช อู่สวัสดิ์ อดีตอธิการมหาวิทยาลัยหอการค้า เป็นประธาน 4.คณะอนุฯ ดูแลการกระจายอำนาจ มี รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศึกษาธิการเป็นประธาน 5.คณะอนุฯปฏิรูปหลักสูตร มี นางศิริกร มณีรินทร์ อดีตรมช.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ส่วนคณะที่ 6 และ 7 นั้นเป็นคณะอนุฯ ดูแลเกี่ยวกับการปฏิรูปการผลิตครู โดยที่ประชุมมอบให้ ดร.กฤษณพงศ์ กีระติกร รมช.ศึกษาฯ เป็นผู้ตั้งประธานคณะอนุฯ เพราะ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ดูแลเรื่องครูทั้งระบบ
“เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการอำนวยการฯ ที่ประชุมจึงหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการวางกรอบปฏิรูปการศึกษา และเห็นชอบกับการตั้งคณะอนุฯ ทั้ง 7 ชุด ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างของกระทรวงนั้นยังไม่ได้หารือลงลึก แค่ให้ 3 องค์กรหลัก คือ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) นำเสนอผลการศึกษาของตนเองต่อที่ประชุม ซึ่งที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นไป แต่ไม่มีการให้ข้อยุติจะปรับโครงสร้างอย่างไร อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ จะมีความแตกต่างกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากการปฏิรูปจากภาคปฏิบัติซึ่งก็คือ เด็ก ครู ผอ.โรงเรียน ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมกับการปฏิรูปด้วย ซึ่งการปฏิรูปจากภาคปฏิบัตินี้ มีความสำคัญยิ่งกว่าการปรับโครงสร้าง ตัวอย่าวเช่น โครงการนำร่องกระจายอำนาจให้เขตพื้นที่การศึกษา 20 เขต และแต่ละเขตพื้นที่ฯจะคัดเลือกโรงเรียน 15 แห่งที่จะเริ่มนำร่องในเดือนมกราคม 2558 นี้ ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนและเขตพื้นที่ฯ มีอำนาจบริหารตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียน หากพบว่าโครงการนำร่องกระจายอำนาจได้ในทางบวก ก็จะขยายโครงการนี้เพิ่มขึ้น” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว
พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้พูดคุยในประเด็นที่เสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ หรือ ซุปเปอร์บอร์ด เพื่อดูแลการศึกษาในภาพรวม เพราะว่าที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีหน่วยงานระดับชาติที่มาทำหน้าที่กำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการทำงานด้านการศึกษา ในอดีตการศึกษาช่วงที่สังกัดสำนักนายกฯ เคยทำหน้าที่วางนโยบายการศึกษาในภาพรวม แต่หลังจากที่ปรับโครงสร้างให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) มาสังกัด ศธ.แล้ว สกศ.ก็เปลี่ยนมาดูแลแค่นโยบายของ ศธ. จึงขาดหน่วยงานที่ดูแลในภาพรวม ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องตั้งหน่วยงานระดับชาติมาดูแลการศึกษาในภาพรวม
ด้าน รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการ สกศ. กล่าวว่า ได้กำหนดกรอบเวลาในการปฏิรูปการศึกษาไว้ 1 ปีแต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาปฏิรูปแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย เพราะ ศธ.ต้องรับเอาแนวคิดของ สปช.และ สนช.มากำหนดร่วมในแผนการปฏิรูปการศึกษาด้วย ขณะเดียวกัน การปฏิรูปการศึกษาในบางประเด็นจะถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ส่วนการทำงานของคณะอนุกรรมการทั้ง 7 ชุดจะต้องรายงานความก้าวหน้าในการประชุมทุกครั้ง คาดว่าบางเรื่อง เช่น ระบบการผลิตและพัฒนาครูจะเห็นผลชัดเจน ใน 3 เดือน
“ที่ประชุมเห็นว่าการปฏิรูปการศึกษาครั้งนี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากกว่าการปรับโครงสร้าง เราจะตั้งโจทย์ขึ้นมาก่อนว่าการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจะต้องทำอย่างไรบ้าง หากไปกระทบกับโครงสร้างจึงจะมีการปรับโครงสร้างในจุดนั้น นอกจากนั้น ที่ประชุมยังเห็นพ้องว่าเพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นนโยบายพื้นฐานของทุกรัฐบาลไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาลจะได้ดำเนินการตามกรอบนั้น เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาของไทยเกิดความต่อเนื่องยั่งยืนและไม่ถูกแทรกแซงจากระบบการเมือง จึงควรกำหนดกรอบปฏิรูปให้ชัดเจนและตั้งคณะกรรมการระดับชาติทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิรูปการศึกษาทั้งระยะเร่งด่วน 1 ปี ระยะปานกลาง 1-3 ปี และระยะยาว 5-10 ปี” รศ.ดร.พินิติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี