คนในยุคข้อมูลข่าวสารล้วนต้องวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์และเรื่องราวที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บางช่วงบางเวลาอาจเกิดความสับสนทางความคิด หรือเกิดอาการหลงลืมขึ้นได้ว่า วันนี้หรือพรุ่งนี้จะทำอะไรก่อนหรือหลังดี เหตุการณ์ทำนองนี้จะเกิดขึ้นกับทุกๆ คนซึ่งไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่เท่านั้น เด็กๆ ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาก็ไม่หลุดพ้นจากสภาวการณ์เช่นนี้
ด้วยเหตุนี้การรู้จัก “การจัดระบบ” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้ เพราะหากการรับข้อมูลโดยไม่มีการจัดระบบที่ดี ย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำได้
ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะมีเครื่องมือจัดการความคิดและข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และหนึ่งในเครื่องมือที่ว่านี้ก็คือ Mind Mapping ซึ่งเป็นผลงานการค้นพบของ “โทนี บูซาน” นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ที่ได้ให้ความหมายไว้ว่า Mind Mapping หรือ แผนที่เส้นทางอัจฉริยะ เปรียบเสมือนลายแทงที่นำไปสู่การจดจำและการเรียบเรียงจัดระเบียบข้อมูลตามธรรมชาติด้วยการทำงานของสมอง มาปรับใช้กับการเรียนรู้โดยพัฒนาจากการจดบันทึกแบบเดิมที่จดบันทึกเป็นตัวอักษรเป็นบรรทัดๆ ปรับเปลี่ยนมาเป็นบันทึกด้วยถ้อยคำ ภาพ สัญลักษณ์ แบบแผ่รัศมีออกรอบๆ ศูนย์กลางเหมือนการแตกกิ่งก้านของต้นไม้ ที่พบว่าสามารถนำไปใช้กับกิจกรรมอื่นๆ ทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงาน เช่น การวางแผน การตัดสินใจ การช่วยจำ การแก้ปัญหา การนำเสนองานและการเขียนหนังสือ
อาจารย์ธัญญา ผลอนันต์ ชาวไทยคนแรกที่ไปอบรมเพื่อเป็นผู้ฝึกการเขียน Mind Map จากสำนักงานใหญ่ของ Buzan Centre ในเมือง Poole ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปลายปี 2540 และกลับมาแปลคู่มือการฝึกเขียน Mind Map เล่มแรกของเมืองไทย ชื่อ GET AHEAD หรือ ใช้หัวลุย พร้อมทั้งจัดการอบรมครั้งแรกให้กับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เมื่อวันที่ 23-24 มีนาคม 2541 และเป็นผู้ก่อตั้ง บูซานเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย)
ต่อมา อาจารย์ขวัญฤดี ผลอนันต์ ได้เดินทางไปรับการอบรมเพื่อเป็นผู้ฝึก Mind Map เป็นคนที่สองในปี 2546 และทั้งสองคนก็ร่วมกันจัดการบรรยายอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่บริษัทเอกชน สถาบันการศึกษา สมาคมและหน่วยงานไม่แสวงหากำไร ตลอดจนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงบุคคลทั่วไป เป็นจำนวน 2,399 รุ่น มีผู้ผ่านการอบรมไปแล้วกว่า 243,900 คน
การเขียนแผนผังความคิดหรือแผนที่ความคิด Mind Map เป็นการถ่ายทอดความคิดหรือข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ในสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้นและการโยงใยแทนการจดย่อแบบเดิมที่เป็นบรรทัดๆ เรียงจากบนลงล่าง ซึ่งจะเป็นสื่อนำข้อมูลจากภายนอก เช่น หนังสือคำบรรยาย การประชุม ส่งเข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ดีกว่าเดิม ซ้ำยังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากจะเห็นเป็นภาพรวมและเปิดโอกาสให้สมองได้เชื่อมโยงต่อข้อมูล หรือความคิดต่างๆ และแผนที่ความคิดMind Map ยังเป็นการนำเอาทฤษฎีที่เกี่ยวกับสมองไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งการเขียนแผนที่ความคิดนั้น เกิดจากการใช้ทักษะทั้งหมดของสมองหรือเป็นการทำงานร่วมกันของสมองทั้ง 2 ซีก คือสมองซีกซ้ายและซีกขวา โดยสมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ คำ ภาษา สัญลักษณ์ ระบบ ลำดับ ความเป็นเหตุผล ตรรกวิทยา ส่วนสมองซีกขวาจะทำหน้าที่สังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความงาม ศิลปะ จังหวะ โดยมีแถบ เส้นประสาทคอร์ปัสคอโลซั่มเป็นเสมือนสะพานเชื่อมแผนที่ความคิด ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
แผนที่ความคิด ถือเป็นวิธีการบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพของความคิดที่หลากหลายมุมมองที่กว้างและชัดเจน โดยยังไม่จัดระบบระเบียบความคิดใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการเขียนตามความคิดที่เกิดขึ้นขณะนั้น ซึ่งการเขียนมีลักษณะเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปเรื่อยๆ ทำให้สมองได้คิดได้ทำงานตามธรรมชาติและมีจินตนาการที่กว้างไกล
นอกจากนี้ มายด์แม็ป ยังจะช่วยบันทึกความคิดเพื่อให้เห็นภาพความคิดที่หลากหลายมุมมองที่กว้าง และชัดเจนกว่าการบันทึกโดยยังไม่จัดระเบียบความคิดใดๆ อีกทั้งเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับโครงสร้างทางการคิดของมนุษย์ ซึ่งบางช่วงมนุษย์จะสูญเสียสมาธิและความจดจ่อไปโดยอัตโนมัติ ขณะที่กำลังคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การทำให้สมองได้คิด ได้ทำงานตามธรรมชาตินั้น มีลักษณะเหมือนต้นไม้ที่แตกกิ่งก้านออกไปเรื่อยๆ ฉะนั้น วิธีที่ง่ายคือ พยายามทำให้เป็นภาพ เช่น ตัวเลข 1 เป็นจรวด เลข 2 เป็นคอหงส์ แล้วนำตัวเลขที่ได้มาสร้างเป็นเรื่องราว “วิหกอาแปดมาสามล้อ” เป็นวิธีการจำวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวิหก คือ วันวิสาขบูชาเดือนหก อาแปด วันอาสาฬหบูชาเดือนแปด มาสามล้อ มาฆบูชาเดือนสาม ซึ่งทุกสิ่งถ้าทำเป็นภาพจะง่ายต่อการจำ ข้อดีที่ตามมาคือ ทำให้ทราบว่างานที่ทำถึงขั้นตอนไหน ยังเหลืออะไรอีกที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ หรืออีกวิธีคือ การถ่ายทอดความคิดหรือข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ในสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้นและการโยงใยแทนการจดย่อแบบเดิมๆ ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายและเปิดโอกาสให้สมองได้เชื่อมโยงต่อข้อมูลหรือความคิดต่างๆ เข้าหากัน
แม้ว่าเทคนิคมายด์แม็ปสามารถหาอ่านและเรียนรู้ได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ คลิปวีดีโอบนยูทูบ แต่ก็ใช่ว่าดูคลิปเข้าคอร์สแล้วจะทำได้เชี่ยวชาญกันข้ามชั่วโมง การเขียนแผนที่ความคิดเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันอยู่เสมอจนเป็นไปตามธรรมชาติ จึงทำให้เกิดหลักสูตรอบรม Mind Map เพื่อพัฒนาสมอง เพิ่มการจดจำ โดยแบ่งเป็นหลักสูตรสำหรับเด็ก อายุ 9-13 ปี เพื่อให้รู้จักการทำงานของสมอง รูปแบบการจำ ฝึกเขียนตัวอย่างการนำมายด์แม็ปไปใช้ในบทเรียนวิชาต่างๆ และเรียนรู้เทคนิคการอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักสูตรสำหรับเด็ก อายุ 14-18 ปีเพื่อฝึกตั้งเป้าหมายการเรียน เข้าใจหลักการทำงานของสมอง เรียนรู้กฎของ Mind Map ไปประยุกต์ใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น การจดบันทึก การอ่านหนังสือ การวางแผนเตรียมตัวสอบหรือก่อนเรียน เทคนิคการสรุปบทเรียนที่ทำให้อ่านน้อยลง แต่จำได้ดีขึ้น 4-10 เท่า และหลักสูตรสำหรับบุคคลทั่วไป นำไปใช้ในการจัดสรรระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพและง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ฝึกอบรมหลักสูตร Mind Mapping จากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการใช้มายด์แม็ปคนแรกของประเทศไทย ประกอบด้วย อาจารย์ธัญญาผลอนันต์, อาจารย์ขวัญฤดี ผลอนันต์ และคณะ พร้อมอุปกรณ์การสอนครบครัน โดยจะเปิดอบรมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่14 กุมภาพันธ์ 2558 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. สอบถามเพิ่มเติม โทร.02-9810247, 02-9811242
ท่ามกลางการพัฒนา ปรับปรุง ส่งเสริมให้สมองเกิดประสิทธิภาพ ที่ถูกประชาสัมพันธ์ออกมาในรูปแบบของการใช้อาหารเสริม การสร้างกิจกรรมต่างๆ วันนี้ เราได้ทางเลือกอีกทางหนึ่งอันเป็นแผนที่สู่ความเป็นอัจฉริยะของสมอง น่าจะเป็นทางเลือกที่สำคัญอีกสายหนึ่งของคนที่ต้องการให้สมองใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี