แม้ว่าปัญหาดินเค็มหลายคนอาจมองว่าเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ความจริงแล้วมันส่งผลกระทบกับการใช้ประโยชน์ที่ดินของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างมาก เนื่องจากการปลูกข้าวในพื้นที่ดินเค็มที่ขาดการปรับปรุงบำรุงดินอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จะทำให้ได้ผลผลิตข้าวน้อยไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
นางปราณี สีหบัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวางระบบการพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า
ปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่ โดนเปลี่ยนแปลงไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นมากขึ้น ทั้งการนำพื้นที่ไปปลูกสร้างทำธุรกิจหรือทำระบบอุตสาหกรรมต่างๆ ฉะนั้น พื้นที่ปลูกข้าวจึงลดน้อยลง และเมื่อพื้นที่ทำการเกษตรที่มีจำนวนจำกัดอยู่แล้ว ยังมาประสบปัญหาเกี่ยวกับดินเค็มอีก ยิ่งส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ที่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ผืนนั้นปลูกข้าวเพื่อเป็นแหล่งรายได้เลี้ยงชีพของเขา
กรมพัฒนาที่ดิน ได้เข้าไปดำเนินการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ในการทำการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พื้นที่ทุ่งเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ประสบปัญหาดินเค็มและเกษตรกรส่วนใหญ่ก็ใช้พื้นที่ในการปลูกข้าว ฉะนั้น กรมพัฒนาที่ดิน โดยสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 จึงได้เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรให้เขาสามารถผลิตข้าวได้ดีขึ้นในพื้นที่ดินเค็ม ซึ่งได้แบ่งพื้นที่ดินเค็มของทุ่งเมืองเพียออกเป็น 4 ระดับ ระดับแรกคือพื้นที่เนินสูง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพของการแพร่กระจายดินเค็ม ระดับเลยจากเนินลงมาจะเป็นพื้นที่ที่เรียกว่าเชิงเนิน จะแบ่งเป็นดินเค็มปานกลางถึงระดับดินเค็มน้อย และระดับสุดท้ายเป็นพื้นที่ลุ่มซึ่งเป็นพื้นที่ดินเค็มจัด ทั้งนี้ พื้นที่ทั้ง 4 ระดับ จะมีพื้นที่ลุ่มที่เป็นดินเค็มจัดและเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปลูกข้าว จึงนับเป็นพื้นที่ปัญหาที่ต้องเร่งเข้าไปดำเนินการมากที่สุด
ปราณี สีหบัณฑ์
วิธีการที่เข้าไปพัฒนาพื้นที่ เริ่มจากถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกรว่าถ้าปลูกข้าวในพื้นที่ดินเค็มต้องมีการล้างเกลือ โดยอาศัยน้ำฝนเป็นตัวล้างเกลือ ซึ่งต้องให้น้ำฝนแช่อยู่ในพื้นที่สัก 2-3 วันจนน้ำเป็นสีน้ำตาล แล้วจึงปล่อยน้ำออกไปตามทางลำรางระบายน้ำที่กรมพัฒนาที่ดินได้เข้ามาจัดรูปแปลงนา เกลือและน้ำเกลือจะออกไปตามทางไปรวมกันที่เก็บส่วนกลาง เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายไปแหล่งอื่น ทำอย่างนี้ไปจนถึงฝนตกครั้งที่ 3-4 ก็ไม่ต้องขังน้ำ ทำการไถและปลูกข้าวได้ตามปกติ นอกจากการล้างเกลือแล้ว ยังแนะนำให้เกษตรกรใช้อินทรียวัตถุ เช่น แกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ร่วมกับการปลูกพืชปุ๋ยสด คือโสนอัฟริกัน โดยใช้เมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัมต่อไร่ ไปหว่านปลูกเหมือนพืชปกติ พอครบอายุ 100-120 วัน ก็ไถกลบกลายเป็นปุ๋ย เพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เนื่องจากการดินมีอินทรียวัตถุจากโสนอัฟริกัน รวมทั้งจากแกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักที่เกษตรกรใช้จะช่วยซับน้ำในดินให้มีความชื้นตลอดเวลา เพราะตราบใดที่ดินมีความชื้นความเค็มก็จะไม่ขึ้นมา เป็นการตัดวงจรท่อเล็กๆ ที่เป็นตัวนำเกลือขึ้นมาบนผิวดิน ทำให้ข้างบนจะไม่มีคราบเกลือ ก็สามารถปลูกข้าวหรือพืชอื่นๆ ได้ตามปกติ ดังนั้น เกษตรกรจำเป็นต้องทำ 2 วิธีร่วมกันทั้งการล้างเกลือและการเพิ่มอินทรียวัตถุ
เมื่อกรมพัฒนาที่ดินได้เข้าไปพัฒนาพื้นที่ดินที่มีปัญหาแล้ว ก็ต้องให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ฉะนั้นการแก้ปัญหาดินเค็มให้เกษตรกรปลูกข้าวได้อย่างเดียวคงไม่สามารถให้มีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวตลอดเวลา เพราะการปลูกข้าวที่ต้องอาศัยน้ำฝนทำให้มีช่องว่างของรายได้ ดังนั้น กรมจึงไปขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ได้แก่ บริษัท SCG ที่มีการพัฒนาเรื่องไม้ยูคาลิปตัสทนเค็ม ให้มาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกบนคันนา เกษตรกรจะได้มีรายได้เสริมจากการตัดไม้ยูคาลิปตัสขาย โดยสามารถขายได้ตั้งแต่อายุประมาณ 1-2 ปี เป็นไม้ค้ำยันได้ราคา 40-50 บาทต่อท่อน หรือถ้ารอให้ครบอายุ 3.5-4 ปี ทางบริษัท SCG ก็มารับซื้อไปเข้าโรงงานกระดาษในราคาประกันที่ทำสัญญากันไว้
ส่วนผลผลิตข้าวที่เกษตรกรผลิตได้ ถ้าเอาไปขายในตลาดทั่วไปก็ได้ราคา 8-10 บาทต่อกิโลกรัมข้าวเปลือก ดังนั้น
ต้องเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของเกษตรกร ซึ่ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ก็เข้ามาช่วยเรื่องการพัฒนาเครือข่ายเกษตรกร การสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์ข้าว ส่งเสริมการปรับปรุงแพ็กเกจจิ้ง ทำให้ปัจจุบันผลผลิตข้าวจากทุ่งเมืองเพีย เป็นข้าวกล้องดินเค็มที่มีคุณภาพอยู่ในบรรจุภัณฑ์สุญญากาศสะดวกต่อการขนส่งและสามารถเก็บไว้บริโภคได้นานขึ้น จำหน่ายได้ในราคา 60 บาทต่อ 1 ถุงๆ ละ1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรอยู่ได้และพึงพอใจ
“ทุกวันนี้ เกษตรกรมีความภูมิใจและมีความมั่นใจในอาชีพว่าต่อไปนี้สามารถปลูกข้าวได้ในพื้นที่ดินเค็ม เพราะเขาก็มีข้าวไว้กิน และเหลือเพียงพอที่จะนำผลผลิตที่มีคุณภาพไปขายสร้างรายได้ ขณะเดียวกันก็มีรายได้จากการขายไม้ยูคาลิปตัสอีกทางหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถอยู่ได้โดยพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเองในกลุ่ม ซึ่งความเข้มแข็งและยั่งยืนของเกษตรกรนี่เอง เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มแบบบูรณาการที่กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 5 ตั้งเป้าไว้ อย่างไรก็ตาม
ผลจากการดำเนินงานทำให้ได้รับรางวัลบูรณาการภาครัฐดีเด่น ที่เสมือนเป็นการการันตีตอกย้ำความสำเร็จของทุ่งเมืองเพียว่า สิ่งที่กรมพัฒนาที่ดินได้ดำเนินการไปทั้งหมดนั้น เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ให้การยอมรับและผลประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่ที่เกษตรกรอย่างแท้จริง” นางปราณี กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี