“เราเริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2552 โดยการจัดเทศกาลอาหารปลอดภัยไร้แอลกอฮอล์ขึ้นในแต่ละภูมิภาค นำร่องที่จังหวัดพัทลุงและขยายไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีเครือข่ายทั้งหมด 35 จังหวัดทั่วประเทศ และจะยกระดับเป็นประชาคมร้านอาหารเพื่อสร้างความเข้มแข็งในพื้นที่และต่อยอดไปยังจังหวัดข้างเคียงทั่วประเทศในอนาคต”
นั่นคือ คำยืนยันของ นางสาวณัจยา แก้วนุ้ยผู้จัดการโครงการส่งเสริมอาหารปลอดภัยเพื่อสุขภาพอร่อยได้...ไร้แอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นแผนงานพัฒนากระบวนการนโยบายสาธารณะและสนับสนุนทุนอุปถัมภ์เพื่อควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานประเพณีวัฒนธรรมที่เล็งเห็นความสำคัญในการเปลี่ยนลานเบียร์ให้เป็นลานวัฒนธรรมอาหารเพื่อส่งเสริมอาหารพื้นบ้าน อาหารท้องถิ่น ภายใต้คำขวัญ “อร่อยได้...ไร้แอลกอฮอล์” ตลอดจนการสร้างการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้คำนึงถึงสุขภาพที่ดี
และวันนี้ โครงการดังกล่าวนี้ ก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปริมาณของ “นักดื่มหน้าใหม่” ไม่ให้เกิดการขยายวงกว้างมากขึ้น
นางสาวณัจยา ยังเล่าต่อเพิ่มเติมให้ทราบด้วยว่า เทศกาลอาหารนี้นอกจากจะปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วยังมีการรณรงค์เรื่องปลอดกล่องโฟมในการใช้เป็นภาชนะใส่อาหารด้วยที่สำคัญคือก่อนเข้างานต้องมีอ่างล้างมือให้กับผู้มารับประทานอาหารและนักท่องเที่ยว รวมถึงมีการรณรงค์การไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำและดูแลสุขาภิบาลโดยมีผ้ากันเปื้อนสวมหมวกคลุมผมตลอดเวลา พยายามพัฒนาเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ
เรียกว่าโครงการนี้ ไม่เพียงแต่จะให้ทุกคนกินอาหารอร่อยอย่างเดียว แต่ยังสร้างสรรค์สุขภาพที่ดีให้กับตัวเองด้วย
ล่าสุดได้จับมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีหน่วยงานต่างๆ จาก 15 จังหวัดทั่วประเทศร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงไม่จำหน่ายเหล้าเบียร์ให้แก่เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เพื่อพัฒนาแนวคิดและสร้างการรับรู้และความเข้าใจตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ. 2551 มีการรณรงค์ ลด ละ เลิกการดื่ม การจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในสถานที่ต่างๆ เช่น สถานที่ราชการ วัด โรงเรียน สถานีบริการน้ำมัน สวนสาธารณะต่างๆ
ผู้จัดการโครงการฯ ขยายความให้ทราบว่า คำว่าประชาคมร้านอาหารไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารเท่านั้น แต่รวมไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคนในชุมชน อสม. ที่จะมาร่วมกันผนึกกำลังในการส่งเสริมการสร้างความรู้ สร้างความตระหนักให้กับนักดื่มหน้าใหม่ ซึ่งวันนี้ได้รับเกียรติจาก 15 จังหวัดนำร่องได้แก่ เชียงราย พะเยา อุตรดิตถ์ อุทัยธานี สุโขทัย ปทุมธานี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สตูลพัทลุง สงขลา ปัตตานี หนองคาย บุรีรัมย์และศรีสะเกษมาลงนามความร่วมมือกันว่าจะไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ที่ปรึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. บอกว่านับเป็นโอกาสดีที่ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายผู้ประกอบการร้านอาหารที่มาจากทั่วประเทศ เพราะปัจจุบันมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ต้องตกเป็นเหยื่อของธุรกิจน้ำเมา ซึ่งถ้าเราไม่พยายามช่วยกันคนละไม้คนละมือ เด็กๆ เหล่านี้เมื่อเริ่มดื่มตั้งแต่อายุน้อยก็จะกลายเป็นนักดื่มประจำนอกจากเสียอนาคตแล้วยังเป็นผลที่นำมาซึ่งความรุนแรงต่างๆ ในสังคม
“ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นความตั้งใจของประชาคมผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศกับ สสส. ที่จะทำงานร่วมกันไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า20 ปี โดยคาดหวังว่าจะขยายพื้นที่ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลายร้านให้ความร่วมมือดี แต่บางร้านที่ยังเข้าใจว่าถ้าไม่ขายเหล้าจะขายอาหารได้ไม่ดี ซึ่งผลคือตรงกันข้าม เพราะยิ่งถ้าไม่ขายเหล้าเลยกลับพบว่าผลประกอบการไม่แย่ลงแต่กลับขายดีขึ้น เพราะลูกค้าที่มารับประทานอาหารชอบมากขึ้นเพราะไม่มีขี้เมามากวนใจ และรายได้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
ศ.นพ.อุดมศิลป์ย้ำ
นอกจากการลงนามบันทึกข้อตกลงไม่จำหน่ายเหล้าเบียร์ให้แก่เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ในครั้งนี้แล้วยังมีเวทีเสวนาร่วมสร้างแนวทางในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 โดยนายมานพ แย้มอุทัยผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นายสุรพล กำพลานนท์วัฒน์ นายกสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา และผู้แทนผู้ประกอบการร้านอาหาร ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกด้วย
ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี