ปัดวัดบ้านไร่เป็นหนี้95ล้าน คกก.ให้1เดือนรวมบัญชีทรัพย์สิน
วันจันทร์ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558, 15.33 น.
Tag :
25 พ.ค. 58 พระราชสีมาภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ และทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ ที่ พระราชวิมลโมลี เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา แต่งตั้งขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สิน ได้เดินทางไปที่ศาลาการเปรียญวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด เพื่อประชุมหารือกับคณะกรรมการวัดบ้านไร่ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับกำหนดขั้นตอน และกรอบระยะเวลาในการทำงาน โดยในเบื้องต้นคณะกรรมการฯ พบว่า บัญชีทรัพย์สินของวัดบ้านไร่มีจำนวนมาก และต้องใช้ในการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างละเอียด
คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้รักษาการคณะกรรมการวัดบ้านไร่ไปรวบรวมบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดทั้งสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับจัดทำบัญชีแยกเป็นหมวดหมู่ โดยให้ระยะเวลาดำเนินการ 1 เดือน ก่อนจะได้นำเอกสารบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดไปแสดงต่อคณะกรรมการตรวจสอบที่ทางเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมาแต่งตั้งขึ้น เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบฯ ได้มอบหมายให้ นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบฯ เป็นผู้ให้ข่าวกับสื่อมวลชนแต่เพียงผู้เดียว เพื่อจะได้ไม่เกิดความขัดแย้ง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ เปิดเผยว่า ทรัพย์สินทุกอย่างทั้งสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของวัดบ้านไร่ และทรัพย์สินส่วนตัวของหลวงพ่อคูณ หลังหลวงพ่อคูณมรณภาพแล้วต้องตกเป็นของวัดบ้านไร่ทั้งหมด ซึ่งที่ประชุมในวันนี้มีมติให้คณะกรรมการวัดบ้านไร่ไปดำเนินการสำรวจทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ และทรัพย์สินของหลวงพ่อคูณทั้งหมด พร้อมจัดทำแยกเป็นหมวดหมู่ทั้งในส่วนของทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ โดยให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หรือภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2558 เพื่อนำบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดรายงานผลต่อคณะกรรมการตรวจสอบฯ เพื่อทำการประกาศให้สาธารณชนได้รับทราบต่อไป
นายเกรียงไกร จารุทวี รักษาการรองประธานคณะกรรมการวัดบ้านไร่ และเป็นผู้ดูแลวิหารเทพวิทยาคม ได้ชี้แจงถึงกรณีวัดบ้านไร่มีหนี้สินจากการก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคมจำนวน 95 ล้านบาทว่า ยืนยันว่าหลวงพ่อคูณ และวัดบ้านไร่ไม่ได้เป็นหนี้สิน 95 ล้านบาท แต่ด้วยความศรัทธาของตนในการผลักดันก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคมที่ตนเป็นผู้ดูแล ตนจึงใช้เงินส่วนตัวทดรองจ่ายไปก่อน ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินทดรองจ่าย และไม่ได้ถือเป็นหนี้สินของวัดบ้านไร่ หรือหนี้สินของหลวงพ่อคูณแต่อย่างใด ส่วนเงินทดรองจ่ายนี้จะต้องหามาจ่ายให้ตนคืนหรือไม่ในรูปแบบใดนั้น คงต้องหารือคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่อีกครั้ง