เล็งดึงน้ำโขง-สาละวิน
สู้วิกฤติแล้ง
เติมเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์
เจาะภูเขาวางท่อจากเมียนมา
แผนช่วง10ปี-วงเงิน8หมื่นล.
มท.-ทหารเร่งขุดบาดาลเพิ่ม
ช่วยหมู่บ้าน5พันแห่งขาดน้ำ
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการแก้ปัญหาภัยแล้ง หลังจากคืนวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีฝนตกหลายพื้นที่ โดยยอมรับว่า ดีใจ เมื่อคืนก็สวดมนต์ขอพระพิรุณ ขอให้ทุกคน ขอให้ประเทศชาติปลอดภัยสงบสุข ขอให้สื่อน่ารัก ขอทุกวัน ไม่ได้พูดเล่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ส่งกำลังทหารไปช่วยพื้นที่แล้งในการขุดลอกคูคลอง
เจาะบ่อบาดาลหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารลงไปนานแล้ว มีแผนงานอยู่แล้ว ส่วนบางพื้นที่ที่ไม่ได้ลงไปทำ เพราะบางพื้นที่ขุดได้ บางที่เก็บน้ำไม่ได้และงบประมาณมีหรือไม่ เครื่องมือมีพอหรือไม่ แต่ตั้งเป้าหมาย 500 บ่อ แบ่งกันรับผิดชอบ
“เราต้องทำให้คนอยู่ได้ก่อน เมื่อประทังการเกษตรไม่ไหว ก็ต้องยอมรับ เพราะคนเดือดร้อนสำคัญกว่า ก็ต้องเลือกหรือแบ่งขั้นตอนช่วงที่แล้วทำมาได้ก็ทำมา รักษาทั้งสองส่วน พอวันนี้เริ่มเดือดร้อนการประปาก็ต้องดูการเกษตรว่าจะเอาอย่างไร ต้องชั่งน้ำหนัก ยืนยันว่าผมไม่ได้รังเกียจภาคเกษตร ผมสงสารมากกว่า แต่จนใจจริงๆ ถ้าจะทำก็ต้องรอน้ำฝน ไม่เช่นนั้นลงทุนไปแล้ว ก็เสียหาย ถ้าเดือดร้อนก็ต้องรวมกลุ่มไปแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน คือการโซนนิ่ง เราก็จะรู้แล้วว่าตรงไหนควรปลูกพืชน้ำมากน้ำน้อย สร้างการรับรู้ให้เขาว่าต่อไปทำนาไม่ได้แล้ว ทุกคนจะได้ปรับเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นทุกคนก็บอกว่าไปห้ามเขาทำนา เสียหายหมด สรุปชาวนายังทำงานต่อไป ถึงจะทำปีละสามครั้ง ได้ผลประโยชน์ครั้งเดียว ท่านก็เชียร์เขาทำต่อไปก็แล้วกัน ผมรับผิดชอบให้ไม่ได้”นายกฯกล่าว
เผยแผนสร้างภาคปชช.เข้มแข็ง
และว่า วันนี้รัฐบาลเตรียมแผนงานเรื่องการลดต้นทุนการผลิต เตรียมข้อมูลว่าพื้นที่ไหนควรปลูกพืชอะไร ทำให้ชาวไร่ชาวนามีเงิน สหกรณ์มีเงินไปซื้อของมาเก็บ มาแปรรูป ประชาชนจะได้เข้มแข็ง เรียกว่าให้เบ็ดแล้วให้วิธีการตกปลาด้วย แต่วันนี้ปลาไม่มีตก เพราะฝนแล้ง ก็ต้องหาปลามาแจกคือ ช่วยคนเดือดร้อน คิดแบบนี้จะได้ไปด้วยกัน
กนช.ถกแผนน้ำครั้งแรกสัปดาห์หน้า
ด้านพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่คสช.ตั้งขึ้น และผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.)ที่มีนายกฯเป็นประธาน เปิดเผยว่า ขณะนี้แผนบริหารจัดการน้ำผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมาแล้ว และจะประชุมนัดแรกสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นการพิจารณาแนวทางปฏิบัติตามยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำของประเทศ ระยะเวลา 10 ปี ( 2558-2569 ) ในรายละเอียดอีกครั้ง ซึ่งแผนยุทธศาสตร์บริหารน้ำระยะเวลา 10 ปี คลอบคลุมการจัดการน้ำ เตรียมการระบายน้ำจากตอนเหนือสู่อ่าวไทย การจัดการน้ำในเขื่อน และการจัดการน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภค ยตั้งเป้าประชาชน 7,000 หมู่บ้านต้องมีน้ำประปาใช้ทุกครัวเรือนภายในปี 2560 เป็นต้น ซึ่งถ้าจัดการตามแผนได้ เชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยมีน้ำพอใช้และไม่เกิดน้ำท่วมแน่นอน
สำหรับแผนระยะสั้นที่เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2557-2559 จะเน้นแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้ทั่วถึงทั้งประเทศ เพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำ เช่น ขุดบ่อน้ำในไร่นาจากเดิม 50,000 แห่งเป็น 200,000 แห่ง ทำพื้นที่แก้มลิงเพิ่มปริมาณน้ำอีก 1,000 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงจัดเตรียมระบายน้ำจากตอนเหนือสู่อ่าวไทยโดยปี 2557 -2558 จะใช้งบประมาณปกติ 50,000-60,000 ล้านบาท ในปี 2559 จะใช้งบเพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งหมด 80,000 ล้านบาท
ลุยดึงน้ำโขง-สาละวินเติมเขื่อนหลัก
ขณะที่แผนระยะกลางและระยะยาว เน้นจัดหาต้นทุนน้ำเพิ่มจากน้ำฝน โดย หนึ่งในแผนสำคัญคือ ดึงน้ำจากแม่น้ำนานาชาติ 2 แห่งคือ แม่น้ำโขง และแม่น้ำสาละวิน ประเทศเมียนมาร์มาใช้ในไทย โดยเบื้องต้นได้หารือร่วมกับผู้นำของเมียนมาร์ถึงความเป็นไปได้ในการดึงน้ำจากแม่น้ำสาละวินมาเป็นต้นทุนน้ำในไทย แต่ก็อาจต้องเจาะภูเขาของไทย เพื่อทำอุโมงค์ส่งน้ำเข้ามาเติมในเขื่อนภูมิพล ส่วนน้ำจากแม่น้ำโขง เข้ามาเติมน้ำในเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งการดึงน้ำจากแม่น้ำมาใช้อาจต้องใช้เวลาดำเนินการ 4-5 ปี และยืนยันว่ารัฐบาลชุดนี้ยังไม่มีนโยบายสร้างเขื่อนเก็บน้ำใหม่ เพราะจะเป็นการกระทบในหลายๆด้าน
สั่งผู้ว่าฯแจงปชช.ลดปล่อยน้ำ
วันเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยประชุมข้อราชการผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ โดยสั่งการให้ผู้ว่ฯเร่งทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติให้ลดการระบายน้ำจากเขื่อนหลักตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมเป็นต้นไป เพื่อให้มีปริมาณน้ำเหลือใช้ถึงกลางเดือนสิงหาคม โดยจะลดการระบายน้ำจากเดิมวันละ 28 ล้าน ลบ.ม.เหลือวันละ 18 ล้าน ลบ.ม. และขอร้องเกษตรกรอย่าสูบน้ำไปทำการเกษตร เพราะจะส่งผลวิกฤติต่อน้ำดื่มน้ำใช้ นอกจากนี้ ยังกำชับผู้ว่าฯสำรวจพื้นที่การทำเกษตรเพื่อบริหารจัดการน้ำ และบูรณาการร่วมกับทหาร ตำรวจและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หาน้ำช่วยเหลือเกษตรกร
ประสานทหารเจาะบาดาลเพิ่ม
พล.อ.อนุพงษ์กล่าวอีกว่า ขอให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำรวจน้ำประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ 61,601 หมู่บ้าน จำนวนนี้จะใช้อุปโภคบริโภคไปถึงกลางเดือนสิงหาคมจำนวน 55,000 หมู่บ้าน ส่วนอีก 5,000 หมู่บ้าน จะมีน้ำพอใช้ถึงปลายเดือนกรกฎาคม จึงจำเป็นที่ผู้ว่าฯต้องหาวิธีรับมือ เพราะประปาหมู่บ้านกินพื้นที่ร้อยละ 58 ของประเทศ ทั้งนี้ เบื้องต้นสามารถประสานหน่วยทหารขอขุดเจาะบ่อบาดาลแก้ปัญหาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความคืบหน้าการขุดบ่อบาดาลที่ครม.มีมติให้ขุดเพิ่ม 500 บ่อ ขณะนี้ดำเนินการเสร็จแล้ว 300 บ่อ นอกจากนี้ ได้วางแผนขุดเพิ่มอีก 2,000 บ่อรองรับภัยแล้งปีหน้า
3จังหวัดยังเผชิญวิกฤตภัยแล้ง
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ(ศภช.) รายงานสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดจากภัยแล้ง มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 40 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2557 ซึ่งปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 3 จังหวัด 18 อําเภอ 126 ตําบล 1,189 หมู่บ้าน โดยมีภาคเหนือ จ.น่าน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา และภาคตะวันออก จ.สระแก้ว โดยภาวะภัยแล้งมีแนวโน้มลดลง แต่ยังมีบางพื้นที่ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อไป ขณะที่ภาวะฝนแล้งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน มีพื้นที่ที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 6 จังหวัดคือแพร่ พิจิตร พิษณุโลก ชลบุรี สุโขทัย ปทุมธานี ทั้งหมด 18 อําเภอ 99 ตําบล 771 หมู่บ้าน
ไร่มันสุโขทัยเสียหาย400ล้าน
สถานการณ์ภัยแล้งที่ต.ตลิ่งชัน อ.บ้านด่านลานหอย จ.สุโขทัย นอกจากมีชาวบ้าน 8 หมู่บ้านเดือดร้อนจากปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคนาน 3 เดือน ต้องซื้อน้ำบรรจุขวดไว้บริโภคแล้ว ยังมีพื้นที่การเกษตรเสียหายอีกหลายหมื่นไร่ โดยเฉพาะไร่มันสำปะหลังที่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของตำบล โดยนายประเทือง นาราสิริวิมล นายกเทศมนตรีตำบลตลิ่งชันเผยว่า ปัญหาภัยแล้งปีนี้ถือว่าหนักที่สุด กระทบไร่มันสำปะหลังที่มีการเพาะปลูกเกือบ 20,000 ไร่ เกษตรกรต้องไถทิ้งแล้วปลูกใหม่ 2-3 รอบจนขาดทุนซ้ำซาก สูญเสียรายได้จากผลผลิตมันสำปะหลัง 300-400 ล้านบาท จึงอยากวิงวอนรัฐบาลหรือหน่วยงานเกี่ยวข้องข้ามาช่วยเหลือ
แม่กลองลดกระทบประปาราชบุรี
ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลองลดลง ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปาในจ.ราชบุรี โดยนางศมานันท์ เหล่าวณิชวิศิษฎ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองราชบุรีประกาศเตือนประชาชนผู้ใช้น้ำประปา ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี และต.เจดีย์หัก ต.ดอนตะโกให้เก็บสำรองน้ำช่วงนี้ หลังได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่ระดับน้ำในแม่น้ำแม่กลอง ที่เขื่อนรัฐประชาพัฒนาเขตเทศบาลเมืองราชบุรีลดระดับลงต่อเนื่อง และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นต้นน้ำชะลอการส่งน้ำ ทำให้แม่น้ำแม่กลองลดลงมากกว่าปกติ ส่งผลให้การผลิตน้ำประปาได้รับผลกระทบตามไปด้วย
ประกอบกับช่วงที่ฝนตกหนักในอ.เมืองราชบุรี ทำให้น้ำเน่าเสียไหลลงแม่น้ำแม่กลองและติดกับบริเวณหัวสูบน้ำส่งผลให้น้ำเน่าเสียไหลเข้าระบบทำน้ำประปา จนไม่สามารถผลิตน้ำประปาได้ ต้องหยุดจ่ายน้ำให้ประชาชนเขตต.ดอนตะโกและเจดีย์หักบางส่วน รวมถึงหมู่บ้านเอื้ออาทรราชบุรี ไม่มีน้ำประปาใช้เดือดร้อนอย่างหนัก
นอกจากนี้ โรงผลิตน้ำประปาของเทศบาลเมืองราชบุรี โรงที่ 2 ซึ่งอยู่ที่วัดเทพอาวาส ปริมาณน้ำลดลงจนถึงหัวกะโหลกสูบน้ำ ไม่สามารถสูบน้ำขึ้นมาผลิตได้ การประปาเทศบาลเมืองราชบุรีจึงต้องลดอัตราส่งน้ำไปนอกเขตเทศบาล เพื่อส่งน้ำเข้าระบบที่โรงผลิตน้ำประปาโรงที่ 2 เพื่อให้ประชาชนในเขตโรงผลิตน้ำมีน้ำใช้
โคราชเหลือน้ำดิบผลิตแค่2เดือน
เช่นเดียวกับ นายนพดล พุ่มกันภัย ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมาเปิดเผยว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำดิบท่าช้างของสำนักงานประปาส่วนภูมิภาค สาขานครราชสีมา ภายในอ.เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งสูบน้ำดิบจากลำน้ำมูลมาใช้ผลิตน้ำประปาให้ประชาชนกว่า 25,000 ครัวเรือน ใน 2 อำเภอคือ อ.เมืองและอ.เฉลิมพระเกียรติ มีน้ำดิบเหลืออยู่ในอ่างกักเก็บเพียง 1.2 ล้านลบ.ม. และขณะนี้ปริมาณน้ำในลำน้ำมูลเหลืออยู่น้อยมาก ทำให้การประปาส่วนภูมิภาคสาขานครราชสีมาต้องลดอัตราปล่อยน้ำประปาจากปกติวันละ 27,000 ลบ.ม.เหลือเพียงวันละ 20,000 ลบ.ม.เพื่อยืดระยะเวลาใช้น้ำดิบออกไป ส่งผลให้น้ำประปาช่วงนี้ไหลอ่อนบางพื้นที่ที่อยู่ปลายท่อ และปริมาณน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปาเหลืออีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น ถ้าภายในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมยังไม่มีฝนตกลงมาก็ต้องเผชิญวิกฤตขาดแคลนน้ำประปาอย่างแน่นอน
สตูลน้ำท่วมหนักปิดรร.4แห่ง
ส่วนที่จ.สตูลประสบปัญหาน้ำท่วมจากน้ำป่า โดยนายจักรพงษ์ ทองเพ็ชร รอง ผอ.สพป.สตูลลงตรวจสอบโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำป่าทะลักเข้าท่วมขังที่โรงเรียนอนุบาลเมืองสตูล ต.ฉลุง อ.เมืองสตูล หลังระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น ต้องหยุดการเรียนการสอนจนกว่าสถานการณ์น้ำจะเข้าสู่ภาวะปกติ พร้อมกันนี้ ยังพบว่ามีโรงเรียนบ้านปันจอร์ โรงเรียนย่านซื่อ และโรงเรียนบ้านโคกประดู่ อ.เมือง และอ.ควนโดนต้องปิดเรียนเช่นกัน ขณะที่มีโรงเรียนที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมอีก 3 แห่งใน อ.ละงู คือโรงเรียนบ้านโกตา โรงเรียนบ้านดาหลำ และโรงเรียนอนุบาลละงู
ดินไหวสังขละบุรีชาวบ้านหนีตาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.55 น.วันที่ 14 กรกฎาคม เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.8 ริคเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ที่บ้านจงอั่ว ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ความลึก 4 กิโลเมตร และเกิดอาฟเตอร์ช็อกขนาด 2 ริกเตอร์ตามมา ทั้งนี้ เหตุแผ่นดินไหวดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ แต่สร้างความแตกตื่นให้ประชาชนในอ.สังขละบุรี ต่างวิ่งออกมานอกบ้าน โดยนายชาธิป รุจนเสรี นายอำเภอสังขละบุรีเผยว่า เหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้บ้านเรือนเสียหายบางส่วน จึงสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปสำรวจให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่บ้านมีรอยร้าวหลายหลัง รวมถึงรพ.สังขละบุรีที่มีรอยร้าวในอาคาร ส่วนสะพานอุตตมานุสรณ์หรือสะพานมอญไม่ได้รับผลกระทบ
สธ.สั่ง4รพ.เสี่ยงเตรียมพร้อมรับมือ
ขณะที่นพ.สุรเชษฐ์ สถิตย์นิรามัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขสั่งให้วิศวกรเร่งสำรวจความเสียหายของรพ.สังขละบุรีที่มีรอยร้าวในอาคารผู้ป่วยนอกเล็กน้อย พร้อมสั่งย้ายผู้ป่วยบางส่วนไปรักษาที่รพ.พหลพลพยุหเสนา ส่วนรพ.ที่สุ่มเสี่ยงได้รับผลกระทบเหตุแผ่นดินไหว สอบถามสาธารณสุขจังหวัดพบมี 4 รพ.ที่อยู่ในแนวรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ได้แก่ รพ.สังขละบุรี รพ.ทองผาภูมิ รพ.ท่ากระดาน และ รพ.ศุกร์ศิริศรีสวัสดิ์ จึงสั่งให้เตรียมความพร้อมรับมือ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี