สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการหม่อนไหมเป็นล้นพ้น ทรงมีพระราชดำริให้มีหน่วยงานที่ดูแลงานด้านหม่อนไหมของประเทศอย่างครบวงจรและยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “กรมหม่อนไหม” เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2552 เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างๆ ได้แก่ งานการศึกษาวิจัย งานอนุรักษ์ คุ้มครอง ส่งเสริม รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหม่อนไหมอย่างครบวงจร ให้เกิดประโยชน์ต่อวงการหม่อนไหมตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงในอาชีพหม่อนไหมสืบไป นอกจากผ้าไหม และผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม และหม่อนผลสดแล้ว นวัตกรรมจากไหมโดยเฉพาะแผ่นใยไหม ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของกรมหม่อนไหมที่ได้ศึกษาวิจัยและนำมาต่อยอดเชิงการค้าเพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมีรายได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง
นางวีณา พงศ์พัฒนานนท์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่ากรมหม่อนไหมมีความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรผู้มีอาชีพการเลี้ยงไหมให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความมั่นคงในอาชีพ จึงหาวิธีการต่างๆ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในการเลี้ยงไหมให้เกษตรกร เพื่อไม่ให้อาชีพนี้สูญหายไป การผลิตแผ่นใยไหมก็เป็นผลงานวิจัยหนึ่งที่กรมหม่อนไหม (เมื่อครั้งเป็นศูนย์วิจัยหม่อนไหมนครราชสีมา กรมวิชาการเกษตร) โดย นายสาน วิไลนักวิชาการเกษตรชำนาญการ (ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม) และนายวรพจน์ รักสังข์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตเส้นไหม ได้ศึกษาวิจัยคิดค้นเพื่อให้เป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เกษตรกร โดยกรรมวิธีในการทำแผ่นใยไหมนั้น แทนที่จะนำหนอนไหมไปใส่จ่อ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ให้หนอนไหมทำรัง ก็นำหนอนไหมไปวางบริเวณขอบตาข่ายไนลอน ซึ่งทำเป็นเฟรมขนาด 1.5x2 ฟุต และปล่อยให้หนอนไหมเดินปล่อยเส้นใยลงพื้นเฟรมแล้วจึงลอกออกมาเป็นแผ่นใยไหม แผ่นใยไหมที่ได้จึงอุดมไปด้วยโปรตีนไฟโบรอินและโปรตีนเซริซินจำนวนมาก เพราะไม่สูญเสียโปรตีนที่ละลายไปกับการต้มน้ำระหว่างการสาวไหม
นายสำราญ สุขใจ ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ น่านกล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จในการคิดค้นการผลิตแผ่นใยไหมของกรมหม่อนไหม ผศ.ประยูร ห่วงนิกร อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้นำผลงานดังกล่าวของกรมหม่อนไหมไปถ่ายทอดให้เกษตรกรที่บ้านป่าเลา ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้งจังหวัดเชียงราย โดยมีศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่าน เข้าไปส่งเสริม สนับสนุนงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และองค์ความรู้ต่างๆในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งได้ดำเนินงานมากว่า 20 ปี รวมทั้งการผลิตแผ่นใยไหม ซึ่งได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตเชิงการค้าในเวลาต่อมา โดยผลิตแผ่นใยไหมบนเฟรมขนาด 60x80 เซนติเมตร ซึ่งศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่านได้สนับสนุนแผ่นไข่ไหมพันธุ์ไทยปรับปรุง ซึ่งเป็นไหมลูกผสมระหว่างพันธุ์ทับทิมสยามกับพันธุ์วนาสวรรค์ ของกรมหม่อนไหม สามารถนำมาผลิตแผ่นใยไหมได้เป็นเส้นสีเหลืองทองอร่ามและมีคุณภาพที่เหมาะสมสำหรับการผลิตแผ่นใยไหม และได้เริ่มขยายการส่งเสริมให้มีการผลิตแผ่นใยไหมไปยังกลุ่มเกษตรกรที่อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจำนวนมาก
สำหรับรายได้จากการเลี้ยงไหมนั้น จากการสำรวจของศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ น่าน โดยเปรียบเทียบจากการเลี้ยงไหมเพื่อสาวเส้นไหม และการเลี้ยงไหมเพื่อผลิตแผ่นใยไหม พบว่าการเลี้ยงไหมเพื่อผลิตเส้นไหม จากไข่ไหม 1 แผ่น มีรายได้จากการขายเส้นไหมและดักแด้ ประมาณ 2,710- 3,540 บาท ส่วนการเลี้ยงไหมเพื่อผลิตแผ่นใยไหม จากไข่ไหม 1 แผ่น มีรายได้จากการขายแผ่นใยไหมและดักแด้ ประมาณ 5,400-6,300 บาท ซึ่งจากการผลิตแผ่นใยไหมแต่ละรุ่นนั้น ไข่ไหม 1 แผ่น สามารถผลิตแผ่นใยไหมได้จำนวน 70-80 แผ่น และผู้ประกอบการจะรับซื้อในราคาแผ่นละ 60-70 บาท นอกจากนี้เกษตรกรจะมีรายได้จากการขายดักแด้อีกส่วนหนึ่งประมาณ 1,350-1500 บาท
การผลิตแผ่นใยไหมที่บ้านป่าเลา จังหวัดเชียงราย นั้น ถือว่าเป็นชุมชนแห่งแรกที่ได้ผลิตเชิงการค้า โดยมีผู้ประกอบการมารับซื้อเพื่อนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง เช่น แผ่นมาสก์ใยไหมบำรุงผิวหน้า แผ่นขัดหน้า สบู่ใยไหม และครีมบำรุงผิวกลางวันและกลางคืน ทำให้เกษตรกรที่ผลิตแผ่นใยไหมมีตลาดรองรับ และมีแนวโน้มว่าจะมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้แผ่นใยไหมยังนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การผลิตแผ่นใยไหมต้องใช้แรงงานจำนวนมากเกษตรกรจึงยังผลิตได้ในปริมาณที่ไม่มากนัก อีกทั้งการผลิตแผ่นใยไหมยังมีตลาดรองรับเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เกษตรกรยังคงเลี้ยงไหมเพื่อผลิตเส้นไหมและทอผ้าไหม อันเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาหม่อนไหมที่สร้างชื่อเสียงและรายได้ให้ประเทศไทยด้วย
ล่าสุด นักเรียนโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ อำเภอเมืองจังหวัดเชียงราย ได้นำแนวคิดจากการผลิตแผ่นใยไหม ไปทำโครงงานศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการพ่นใยเพื่อผลิตแผ่นใยไหมจากตัวหนอนไหม และสมาคมวิทยาศาสตร์ฯ ร่วมกับองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้นำส่งไปประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระดับโลก ในงาน อินเทล ไอเซฟ2015 ครั้งที่ 66 ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนได้รางวัลชนะเลิศสาขาสัตวศาสตร์ และรางวัลอื่น ๆ อีก รวม 3 รางวัล
ตลาดเวชสำอางและผลิตภัณฑ์ความสวยความงามเป็นตลาดใหญ่ที่ยังมีอนาคตเติบโตอีกมาก การแข่งขันในปัจจุบันผู้ประกอบการต่างพากันหันมาเน้นที่นวัตกรรมความงาม ซึ่งมีที่มาจากวัตถุดิบธรรมชาติ สอดรับกับกระแสความนิยมเกี่ยวกับดูแลสุขภาพที่ทำให้หลายๆ คนพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมี แล้วหันมาใช้เวชสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติกันมากขึ้น ซึ่งนวัตกรรมแผ่นใยไหม ถือว่าเป็นวัตถุดิบอันเลอค่าจากธรรมชาติที่นำมาทำเวชสำอาง ด้วยคุณสมบัติใยไหมที่อุดมไปด้วยโปรตีนไฟโบรอิน และโปรตีนเซริซิน อันเป็นโปรตีนที่ประสานเข้ากับผิวหนังมนุษย์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่ระคายเคืองผิว ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวนุ่มนวล ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพให้หลุดออกไป และยังช่วยยืดเซลล์อายุ ที่สำคัญยังช่วยรักษาและลดการอักเสบของผิวหนังอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงด้วย
“การผลิตแผ่นใยไหมจึงเป็นทางเลือกใหม่ของเกษตรกร นอกจากการขายเส้นไหม ดักแด้ไหม และทอผ้าไหม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าของแผ่นใยไหมอีกรูปแบบหนึ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้เป็นอย่างดี” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี