พื้นที่การเกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากที่สุดถึงประมาณ 63.6 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 43 ของพื้นที่การเกษตรทั้งประเทศคือ 149.2 ล้านไร่ แต่กลับเป็นภาคที่มีพื้นที่ชลประทานน้อยที่สุดไม่ถึงร้อยละ 10 ของพื้นที่การเกษตร ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ภาคอีสาน จะมีความมั่นคงในเรื่องน้ำค่อนข้างต่ำกว่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และรายได้ประชากรโดยเฉลี่ยต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ
สมเกียรติ ประจำวงษ์
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย พยายามที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ก็ติดปัญหาหลายอย่าง นอกจากจะหาพื้นที่ก่อสร้างแหล่งกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ยากแล้ว ยังถูกต่อต้านจากเอ็นจีโอบางองค์กรอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2532 ภาครัฐจึงได้ลงทุนดำเนินการโครงการ โขง-ชี-มูล เพื่อจะนำน้ำจากแม่น้ำโขงมาใช้แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ก็ทำได้จำกัดอยู่เฉพาะในบริเวณพื้นที่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำโขง เพราะการพัฒนาโครงการบนลำน้ำโขงเพื่อนำน้ำเข้ามาใช้ยังไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องได้รับข้อตกลงและความร่วมมือจากประเทศภาคีก่อน
แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีช่องว่างที่จะทำได้เลย....
ในระหว่างปี 2539-2545 กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและก่อสร้างประตูระบายห้วยคลอง กั้นลำน้ำห้วยหลวงก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เพื่อจะกักเก็บน้ำในลำน้ำแทนการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ แต่เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จกลับไม่สามารถเปิดใช้งานได้ไม่เต็มตามศักยภาพตามที่ได้ออกแบบไว้ เนื่องจากยังคงมีปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาการจัดซื้อที่ดิน ปัญหาขอบเขตพื้นที่น้ำท่วมในกรณีต่างๆ ยังไม่ชัดเจน เป็นต้น ต่อมาในปี 2546 ก็ได้ถ่ายโอนประตูระบายน้ำดังกล่าวมาให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแล
ปัญหาดังกล่าวได้ยืดเยื้อมายาวนานจนกระทั่งในปี 2557 ที่ผ่านมา กรมชลประทานร่วมกับสถาบันแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้ดำเนินการสำรวจจัดทำรายงานความเหมาะสมโครงการศึกษาแผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง ตั้งแต่ ท้ายประตูระบายน้ำสามพร้าว ไปจนถึงปากน้ำลำห้วยหลวง ครอบคลุมพื้นที่ 2,160 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ในเขต 6 อำเภอ ของจ.อุดรธานี คือ อ.เมือง อ.หนองหาน อ.พิบูลย์รักษ์ อ.เพ็ญ อ.บ้านดุง อ.สร้างคอม และ 1 อำเภอ ของจ.หนองคาย คือ อ.โพนพิสัย โดยการศึกษาข้อมูลให้ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการควบคุมบริหารจัดการของประตูระบายน้ำห้วยหลวงที่มีปัญหายาวนานด้วย
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าวว่า โครงการศึกษาแผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่างดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่างเพื่อการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งควบคู่กัน กำหนดพื้นที่น้ำท่วมจากการดำเนินการของประตูระบายน้ำห้วยหลวงที่ชัดเจน ตลอดจนแนวทางลดผลกระทบพื้นที่น้ำท่วมในลําน้ำห้วยหลวง เพื่อกำหนดขอบเขตน้ำท่วมที่เหมาะสม และที่สำคัญเพื่อต้องการให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วม เสนอความคิดเห็นและเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่ห้วยหลวงตอนล่างในทุกขั้นตอน
ในที่สุดผลการศึกษาที่ได้ผ่านขบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยอมรับพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง คือ ปัญหาน้ำท่วม ขาดแคลนน้ำ น้ำเน่าเสีย และการกระจายตัวของน้ำเค็ม หากจะให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งปัญหาของประตูระบายน้ำห้วยหลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์มากที่สุด และไม่เป็นการลงทุนแบบสูญเปล่าแล้ว จะต้องดำเนินโครงการสำคัญๆ อย่างน้อย 6 โครงการด้วยกันคือ
1.โครงการสถานีสูบน้ำบ้านแดนเมือง แก้ปัญหาทั้งน้ำท่วม ภัยแล้งและน้ำเสีย
2.โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำ-พัฒนาแก้มลิงพร้อมระบบชลประทานประตูระบายน้ำดงสระพัง แก้ปัญหาทั้งน้ำท่วม
ภัยแล้งและน้ำเสีย
3.โครงการประตูระบายน้ำหนองสองห้อง สถานีสูบน้ำ
ถ่อนนาเพลินพร้อมระบบชลประทาน แก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
4.โครงการสูบน้ำพื้นที่ชลประทานห้วยหลวง-คลองดัก แก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
5.โครงการสถานีสูบน้ำบ้านนาคำพร้อมระบบชลประทาน แก้ปัญหาภัยแล้ง
และ 6.โครงการประตูระบายน้ำดอนกลอย-สถานีหนองบัว แก้ปัญหาภัยแล้ง
นอกจากนี้ยังได้มีการลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการ จากประชาชนระดับแกนนำลุ่มน้ำหลัก ระดับลุ่มน้ำสาขา และหน่วยงานต่างๆ เห็นว่า มี 2 โครงการที่จะต้องการศึกษาความเหมาะสมโครงการเบื้องต้นต่อไปในระยะแรก ได้แก่ โครงการสถานีสูบน้ำบ้านแดนเมือง และโครงการปรับปรุงแหล่งน้ำ-พัฒนาแก้มลิงพร้อมระบบชลประทานประตูระบายน้ำดงสระพัง
“โครงการศึกษาแผนพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่างดังกล่าว เป็นการศึกษาโดยดูปัญหาเป็นที่ตั้ง ว่าเกิดจากอะไร ปัญหาที่อยู่ตรงไหน มีขอบเขตของปัญหาอย่างไร และประชาชนได้รับผลกระทบอะไรบ้าง อะไรที่แก้ได้ อะไรที่แก้ไม่ได้ เพื่อจะนำไปสู่การทำแผนที่ถูกต้องแม่นยำ โดยไม่ได้ตั้งธงไว้ผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งจะทำให้ได้ข้อสรุปที่เกิดประโยชน์สูงสุด ทุกฝ่ายยอมรับ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำนั้นๆ ก็จะสามารถขับเคลื่อนได้” ผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน กล่าว
โครงการศึกษาพัฒนาลุ่มน้ำห้วยหลวงตอนล่าง กรมชลประทานจะถือเป็นโครงการนำร่องที่จะขยายผลไปดำเนินการในพื้นที่อื่นๆ เป็นรูปแบบใหม่ในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ที่ทุกคน ทุกฝ่าย ให้การยอมรับ และที่สำคัญประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมจัดทำแผนขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเดินหน้าไปได้ไม่สะดุด หรือถูกต่อต้านเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เมื่อการพัฒนาแหล่งน้ำสามารถดำเนินการได้ น้ำท่าก็จะอุดมสมบูรณ์ ความเป็นอยู่ของประชาชนก็จะดีขึ้น มีความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืน
การปรับครม. “ประยุทธ์ 3” ที่เลือกให้ “พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ” มานั่งเป็นรมว.เกษตรฯ เสียเอง จากที่เคยเป็น รมว.พาณิชย์ ที่เป็นกระทรวงการค้าที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกระทรวงเกษตรฯซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแลเกษตรกรทั่วประเทศในการผลิตสินค้าเกษตร ที่ส่งต่อให้กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ทำหน้าที่ค้าขายในบางสินค้า ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และอีกมากมาย นั่นรวมถึงสินค้าเกษตรบางอย่างที่จะต้องมีการนำเข้าเมื่อคราที่ขาดแคลน โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม
จนสุดท้ายกลายเป็นปัญหาระหองระแหง ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯอย่างรุนแรงในหลายครั้ง เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ ต้องปกป้องเกษตรกร เพราะหากมีการนำเข้าจะกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันภายในประเทศ ส่วนกระทรวงพาณิชย์ ก็มักจะอ้างขาดแคลนอาจกระทบต่อผู้บริโภค ส่วนกระทรวงเกษตรฯยังยืนยัน ไม่ควรนำเข้าสุดท้ายก็เลือก
นำเข้า เพราะคณะกรรมการที่ดูแลน้ำมันปาล์มเขาดันเชื่อข้อมูลของกลุ่มพ่อค้า และสุดท้ายเป็นปัญหาบานปลายเนื่องจากราคาปาล์มน้ำมันภายในประเทศตกต่ำ ตามที่กระทรวงเกษตรฯให้ข้อมูลไป และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเดียวที่มีความขัดแย้งในเรื่องข้อมูลด้านการเกษตรที่สองหน่วยงานทำงานไม่เข้าขา ระหว่างกระทรวงค้าขายและกระทรวงที่ดูแลผู้ผลิตสินค้าเกษตร
มาถึงวันนี้เมื่อลมเปลี่ยนทิศให้ “พลเอกฉัตรชัย” ต้องมานั่งเป็นหัวเรือในการบริหารกระทรวงเกษตรฯ จากที่เคยนั่งกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นกระทรวงการค้าที่อ้างนักอ้างหนาเมื่อขายสินค้าเกษตรไม่ได้ก็มักอ้างสินค้าไม่มีคุณภาพขายลำบากจากนี้ไปคงได้เห็นการปรับแนวคิดและกระบวนทัพในการผลิตสินค้า เพราะคงรู้ดีว่าข้อมูลที่ทางกระทรวงพาณิชย์ให้มานั้นมันเป็นอย่างไง
ถึงวันนี้กระทรวงเกษตรฯ จะเดินหน้าอย่างไรให้การพัฒนาด้านการเกษตรมันเทียบทันอารยประเทศ ที่เป็นคู่แข่งการส่งออกของไทย เพราะเท่าที่ทราบทันทีมีปรับครม. แว่วกันว่าท่านรัฐมนตรีเรียกหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมา กับกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรฯที่มี อาจารย์ “ยิ้ม” นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เข้าชี้แจงข้อมูลให้ฟังเป็นหน่วยงานแรก
งานนี้อาจต้องมีการปรับขบวนทัพในเรื่องข้อมูลการเกษตรครั้งใหญ่ทั้งหมด เพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้นและนั่นก็คงจะเป็นโอกาสที่ท่านรัฐมนตรีที่ชื่อ “ฉัตรชัย” จะได้ทำความเข้าใจกระทรวงเกษตรฯ ที่เป็นหน่วยงานที่ดูแลเกษตรกรที่เป็นภาคการผลิตสินค้าเกษตร ไปด้วยจากที่เคยมองในมุมมองของกระทรวงการค้าที่ด่ากระทรวงเกษตรฯ แบบไม่ไว้หน้ามาหลายครั้งว่าผลิตแต่สินค้าไม่ได้คุณภาพ และที่สำคัญ ท่านรัฐมนตรีคนใหม่ยังย้ำว่า นโยบายกระทรวงเกษตรฯ จากนี้ไปจะเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่เน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลักและกำชับให้ข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ลงลุยพื้นที่หนุนให้เกษตรกรเขาลดต้นทุนการผลิต แถมท่าน “ฉัตรชัย” ยังย้ำว่า มีข้อมูลชัดเจนในพื้นที่ “ราชบุรี” ปลูกข้าวได้ด้วยต้นทุนต่ำ ตันละกว่า 3,000 บาท แต่แปลกใจว่าทำไมกระทรวงเกษตรฯ ไม่ลองไปดู เพราะหากทำได้ยังไงเกษตรกรก็ขายข้าวได้ราคาไม่ต่ำกว่าตันละ 6,000 บาท ซึ่งอยู่ได้อย่างมั่นคงและหากราคาสูงกว่านั้นก็ถือว่ามีกำไร
จากนี้ไปคงต้องติดตามว่ากระบวนทัพการเดินหน้าแก้ปัญหาภาคการเกษตรที่มีนายทหารชื่อ “พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ” จะเดินหน้าอย่างไรคงต้องติดตาม เพราะท่านขีดเส้นไว้ว่า 1 เดือน คงให้ทิศทางว่าควรปรับส่วนไหนบ้าง และจะทุ่มเทให้
งานในฐานะ รมว.เกษตรฯเต็มที่เพราะตำแหน่งที่ท่านรับราชการทหาร อีก 1 ตำแหน่งก็จะเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนี้ด้วยแต่ที่แน่ๆ คงไม่ถึง 1 เดือนคงเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกระทรวงเกษตรฯในส่วนข้าราชการระดับสูงภายในกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งมีทั้งตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรฯที่ถูกปลดกลางอากาศ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และอธิบดีที่เกษียณหลายตำแหน่งนั่นไม่รวมที่ทำงานไม่เข้าตา ขัดแข้งขัดขาถ่วงความเจริญอีกเพียบ ลองดูกันว่า ท่านรัฐมนตรีคนนี้จะเลือก ม้าพยศทำงาน หรือม้าแกลบในเข่งรัฐบาลเก่า แต่งตัวรอเอาไว้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี