28 พ.ย. 58 ที่โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วย ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ รองเลขาธิการกพฐ. และผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เดินทางตรวจเยี่ยมการจัดสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ครั้งที่ 2/2558
ใน 225 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) และ 1 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) เปิดสอบใน 60 กลุ่มวิชามีตำแหน่งว่าง 3,986 อัตรา ผู้มีสิทธิสอบ จำนวน 20,122 คน โดยวันนี้เป็นการสอบวันแรก ภาค กความรอบรู้และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบัติของวิชาชีพครู และภาค ขความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ส่วนในวันที่ 29 พ.ย.ภาค ค สอบสัมภาษณ์ และประกาศผลผู้สอบผ่านการคัดเลือกซึ่งได้คะแนนเกินร้อยละ 60 ในวันที่ 4 ธ.ค.นี้
นายการุณ กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยม ว่า ภาพรวมของจัดสอบวันแรกเป็นไปอย่างเรียบร้อย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการซักซ้อมและทำความเข้าใจกับทุกเขตพื้นที่ฯถึงมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการจัดสอบครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษครั้งนี้ และได้วางระบบการจัดสอบมีคณะกรรมการติดตามในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการให้ผู้สมัครสอบปั๊มลายนิ้วมือในใบสมัคร และในกระดาษคำตอบเพื่อให้สามารถตรจสอบได้ว่าเป็นบุคคลเดียวกันหรือไม่
ทั้งนี้ ก่อนเข้าห้องสอบก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเครื่องแสกนเพื่อตรวจค้นร่างกายก่อนเพื่อป้องกันการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตัวเข้าไปในห้องสอบที่จะก่อให้เกิดการทุจริตได้ ที่สำคัญผู้เข้าสอบทุกคนจะต้องถอดรองเท้า ถุงเท้าวางไว้หน้าห้องสอบ เนื่องจากที่ผ่านมาเคยพบปัญหา การซ่อนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ใต้รองเท้าจึงจำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการเอื้อให้เกิดการทุจริตได้ ในส่วนของกรรมการคุมสอบก็จะไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าจะคุมสอบห้องใด แต่ใช้วิธีการจับฉลากก่อนถึงเวลาสอบ
"มาตรการดังกล่างมีความรัดกุมและใช้ได้ผลจริง เพราะเกิดจากความร่วมมือทั้งสพฐ.ส่วนกลางและเขตพื้นที่ฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการทุจริต โดยทำให้ดีที่สุดและเป็นธรรมแก่ผู้เข้าสอบ อย่างไรก็ตาม หากรวมจำนวนผู้สอบผ่านคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นฯ ที่มีอัตราว่างกว่า 3,900 อัตราและการสอบครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ครั้งที่ผ่านมาอีกกว่า 1,600 อัตรา เท่ากับว่า สพฐ.จะมีบุคลากรที่บรรจุเป็นข้าราชการครูในสังกัดประมาณ 5,500 อัตรา ซึ่งหากรวมกับอัตราที่จะได้รับคืนจากการเกษียณอายุราชการอีก 7,000 อัตรา
เท่ากับว่า สพฐ.จะมีครูคืนสู่ห้องเรียนทั้งหมด 12,000 คนถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี โดยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องครูมาก เพราะฉะนั้น เมื่อการดำเนินการทุกอย่างเรียบร้อย สพฐ.จะเร่งบรรจุผู้ที่สอบผ่านคัดเลือกทันที" นายการุณ กล่าว
ส่วนกรณีที่พบว่ามีผู้สมัครยื่นสมัครสอบมากกว่า 1 เขตพื้นที่ฯ จำนวน 223 คน โดยปรากฎมีชื่อซ้ำใน 153 เขตพื้นที่ฯ แต่เนื่องจากการจัดสอบครั้งนี้ยึดตามหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ว16/2557 ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้กำหนดเรื่องการสมัครมากกว่า 1 เขตฯไว้ว่าให้ตัดสิทธิ
เพราะฉะนั้นขอชี้แจงว่าที่ก่อนหน้านี้ระบุว่าให้ตัดสิทธิ 223 คนนั้น เวลานี้ไม่ได้ตัดสิทธิ แต่ให้ผู้เข้าสอบเลือกสอบได้เพียง 1 ที่เท่านั้น และกำชับเขตพื้นที่ฯให้เฝ้าระวังบุคคลเหล่านี้ว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตหรือไม่ หากพบก็ให้นำไปกักตัวและตัดสิทธิสอบในที่สุด ซึ่งที่สนามสอบโรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ ก็พบว่ามีผู้สมัครสอบมากกว่า 1 ที่จำนวน 4 คน แต่มารายงานตัวเข้าสอบแล้ว 3 คน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาความวุ่นวายและสับสน ในการสอบครั้งต่อไป สพฐ.จะเสนอ ก.ค.ศ.ปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวโดยกำหนดให้ชัดเจนว่าให้สมัครสอบได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากซ้ำจะตัดสิทธิทันทีเพราะหากไม่ตัดสิทธิจะเกิดความเสี่ยงต่อการทุจริตอย่างมาก และยุ่งยากในการตรวจสอบ แม้จะเป็นสิทธิมนุษยชนก็ตามแต่ก็จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกที่ใดที่หนึ่ง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี