10 ก.พ. 59 ที่หอประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายชยพล พงษ์สีดา รองผู้อำนวยการ พศ. กล่าวภายหลังการประชุม มส.กว่า 2 ชม.ว่า กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการ พศ. เพื่อให้พิจารณาคดีของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และเจ้าคณะผู้ปกครองที่เกี่ยวข้องว่าเข้าข่ายกระทำผิดอาญาหรือไม่ จากกรณีที่พระธัมมชโย ถือครองที่ดินและทรัพย์สิน และกรณีของพระลิขิตสมเด็จพระญารสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีพระลิขิตให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิก ซึ่งขณะนี้ พศ.ได้ทำร่างหนังสือเพื่อชี้แจงดีเอสไอไว้เรียบร้อยแล้ว และได้นำร่างหนังสือดังกล่าวเข้าที่ประชุม มส. เพื่อเสนอให้ มส.พิจารณา
สำหรับร่างหนังสือดังกล่าวได้ชี้แจงเกี่ยวกับคำถามที่ถูกถามเข้ามาว่า ทำไม มส.ถึงไม่ออกคำสั่งให้พระธัมมชโย ปาราชิก ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ ขออธิบายว่าในขั้นตอนการพิจารณาความของคณะสงฆ์ ประชาชนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ ซึ่งตามกฎ มส.ฉบับที่ 11 ว่าด้วยการลงนิคหกรรม คณะสงฆ์ได้กำหนดขั้นตอนการพิจารณา เหมือนฝ่ายบ้านเมือง โดยแบ่งเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา โดย มส.จะเป็นศาลฎีกาทุกกรณี ส่วนศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ จะขึ้นอยู่กับสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหา ยกกรณีตัวอย่างของพระธัมมชโย ในขณะนั้น ท่านมีสมณศักดิ์ที่พระราชาคณะชั้นราช ดังนั้นศาลชั้นต้นที่พิจารณาคือเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี โดยมีเจ้าคณะภาค 1 เป็นประธาน
นายชยพล กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เจ้าคณะภาค 1 ในขณะนั้นไม่รับคำร้องจากผู้กล่าวหา 2 คนคือ นายสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแแห่งชาติในขณะนั้น และนายมานพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนาในขณะนั้น ที่ร้องพระธัมมชโย ในคดีละเมิดพระธรรมวินัยและละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ เพราะท่านยึดตามพระธรรมวินัยว่า ผู้ที่ร้องต้องเป็นผู้ที่วาจาน่าเชื่อถือ และเปรียบเท่าพระโสดาบันขึ้นไป ดังนั้นจึงไม่รับคำร้อง แต่ มส.ยืนยันให้รับ และได้ขอความร่วมมือไปยังกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้มาตีความกฎแห่งนิคหกรรม ซึ่งนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานวุฒิสภาในขณะนั้น ยืนว่าสามารถรับคำฟ้องได้ เพราะตามกฎ มส.ผู้ร้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไปจึงรับคำฟ้องได้ ดังนั้นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง จึงได้สั่งปลดเจ้าคณะภาค 1 ด้วยเหตุที่ไม่รับคำร้องและตั้งเจ้าคณะภาค 1 รูปใหม่ขึ้นมา เพื่อมาพิจารณาคดีดังกล่าว แต่เนื่องจากคำกล่าวหาไม่สมบูรณ์จึงได้ให้ผู้ร้องมีแก้ไขคำร้องในปี 2543 ขณะเดียวกัน ทางคณะสงฆ์ขอให้รัฐบาลดำเนินคดีกับพระธัมมชโยด้วย ซึ่งขณะนั้นอัยการรับฟ้องทำให้เกิดคดีทางโลกขึ้น คดีทางสงฆ์จึงต้องยุติเพราะกฎหมายบังคับไว้ กระทั่งจนถึงปี 2549 นายมานพ ได้ถอนฟ้องไป เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรูปใหม่ จึงได้หยิบคำร้องของนายสมพร มาพิจารณาต่อ แต่ด้วยคำร้องของนายสมพร ไม่เป็นไปตามหลักขาดบางประเด็น และเป็นคุรุกาบัติ (อาบัติหนัก) เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีจึงไม่รับคำร้องดังกล่าว ได้เสนอคำร้องที่ไม่สมบูรณ์ไปยังเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค และเจ้าคณะใหญ่กนกลาง เพื่อให้ท่านรับทราบ เมื่อคำร้องไม่สมบูรณ์และผู้ร้องไม่ยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน และนายสมพร ได้เซ็นรับทราบแล้ว ดังนั้นจึงถือว่าคดีของพระธัมมชโย สิ้นสุดในศาลชั้นต้นของคณะสงฆ์แล้ว
นายชยพล กล่าวต่อว่า พศ.ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ประเด็นที่ขาดไปจนเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ไม่รับฟ้องคืออะไร และทั้งนี้ยืนยันว่าตามกฎหมายและพระวินัยไม่สามารถที่จะรื้อฟื้นคดีเดิมที่พิจารณาสิ้นสุดแล้วมาพิจารณาใหม่ จะต้องเป็นประเด็นใหม่เท่านั้นถึงจะร้องได้ เมื่อคดีจบในศาลชั้นต้นแล้ว มส.ไม่มีอำนาจจะหยิบมาพิจารณาเอง เพราะ มส.ทำหน้าที่ศาลฎีกาเท่านั้น ไม่มีอำนาจที่จะลงไปล้วงลูก เพราะฉะนั้นถือว่าพระธัมมชโย ไม่ได้ปาราชิก เพราะไม่มีการรับคำฟ้องตั้งแต่ศาลชั้นต้น
"มส.ใส่ใจในพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมาตลอด และ มส.ไม่เคยท้วงติงว่าพระลิขิตมีสภาพใช้บังคับเหมือนพระบัญชาหรือไม่ หากแต่น้อมรับมาปฏิบัติตาม ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2542-2544 มส.ประชุมเรื่องดังกล่าวเป็นร้อยๆ ครั้ง นอกจากนี้ วันนี้ ที่ประชุม มส.มีมติรับทราบ คำชี้แจงที่ พศ.จะนำส่งดีเอสไอ โดย มส.เห็นด้วยกับข้อชี้แจงดังกล่าว และ พศ.จะนำคำชี้แจงที่เป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมแนบเอกสารภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้" นายชยพล กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี