เชื่อว่าท่านทั้งหลายยังจำได้ว่า เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ศรีราชา วงศารยางค์กูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ท่านได้ลงนามในคำวินิจฉัยสำนวนการสอบสวนกรณี ธัมมชโย (ไชยบูลย์ สุทธิผล-เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย) ตามที่เครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปปท.) ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนไป
การลงนามของท่านในครั้งนั้น สมควรได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ว่าท่านเป็นคนแรกที่กล้าตัดสินใจทำความจริงเรื่องธัมมชโยให้ปรากฏ นับเป็นความกล้าหาญอย่างมาก เพราะไม่เคยมีใครหรือหน่วยงานใดกล้ารื้อฟื้นคดีธัมมชโยขึ้นมาใหม่ หลังจากคดีตกไปในปี พ.ศ.2542 เนื่องจากพัวพันกับอำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาล การตัดสินใจในครั้งนั้นจึงนับเป็นเกียรติภูมิของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และเป็นการจุดประกายให้สังคมโดยเฉพาะสื่อมวลชน หันมาสนใจกรณีธัมมชโยและวัดพระธรรมกายอย่างจริงจังอีกครั้ง
ทว่าในเวลาต่อมา กลับปรากฏว่า ท่านผู้ตรวจการฯ กลับถูกแจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157” เนื่องจากดำเนินการรื้อฟื้นคดีสงฆ์ที่เสร็จสิ้นไปแล้วขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ถึงกระนั้นก็ตาม สนง.ผู้ตรวจการฯก็ยังให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อเจ้าพนักงาน ตามที่ได้ถูกร้องขอเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนคดีต่างๆ ของธัมมชโยที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ในขณะนี้มาโดยตลอด
ดิฉันจึงขอกราบขอบพระคุณประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และท่านผู้ตรวจการแผ่นดินทุกท่าน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ณ สนง. ผู้ตรวจการฯ ที่ได้ทำงานกันแบบปิดทองหลังพระมาโดยตลอด แม้ดูเหมือนว่าคำวินิจฉัยกรณีธัมมชโยที่ผ่านมาจะยังไม่สามารถทำให้เกิดผลในการวินิจฉัยสถานภาพของธัมมชโย ก็ขออย่าได้ท้อ อีกทั้งไม่ว่าเร็วหรือช้า ท่านก็คงจะต้องลงนามในคำวินิจฉัยที่สำคัญมากอีกครั้งอย่างแน่นอน
นั้นคือคำวินิจฉัย “มาตรา 7” แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505!!!
กรณีผู้ใดเป็นผู้เสนอชื่อ “พระสังฆราช” ระหว่าง “นายกฯ” หรือ “มส.”!!!
ดังนั้นจึงน่าจะเป็นการดีที่สุดที่ท่านจะลงนามในคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยเร็วที่สุด คือภายในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2559 นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปต่างประเทศตามกำหนดการ ก็น่าจะเป็นผลดี เพื่อที่ท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงสังคมจะได้ทราบและเข้าใจข้อกฎหมายที่ถูกต้อง และอาจเป็นการยุติข้อขัดแย้งที่เห็นต่างกันอย่างรุนแรงในการตีความข้อกฎหมายในขณะนี้ได้ เพราะจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรายวัน “มีการรณรงค์ให้ทุกวัดขึ้นป้ายสนับสนุนมติ มส.” ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าการรณรงค์นี้อาจเป็นการเตรียมรับสถานการณ์ก่อนที่จะมีการแถลงคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการฯ เรื่อง ม.7
ประเด็นต่อมา..ขอเรียนถามไปยัง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าประมาณ 6 เดือนที่แล้ว ท่านเคยได้รับหนังสือ “ด่วนที่สุด” จากรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เรื่อง “แจ้งบัญชานายกรัฐมนตรี” หรือไม่?
เนื่องจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีผู้ตรวจการฯ เสนอให้นายกฯ ใช้อำนาจพิเศษตามความใน ม.44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องธัมมชโยนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวอาจใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2535 มาตรา 11 (6) ในการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแทนได้
ในหนังสือดังกล่าว ท่านนายกฯ ได้มีบัญชาให้นายสุวพันธุ์ดำเนินการเสนอคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อให้นายกฯ พิจารณาลงนามหรือไม่? และเมื่อดำเนินการเป็นประการใดแล้ว ให้รายงานเสนอความเห็นผ่านรองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม เพื่อให้ความเห็นประกอบการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีต่อไป
หากหนังสือด่วนที่สุดนี้เป็นความจริง เวลาก็ล่วงเลยมาได้ 6 เดือนแล้ว เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่มีความคืบหน้า เพื่อที่สังคมจะได้ทราบว่า ท่านนายกฯ ให้ความสำคัญในกรณีดังกล่าว และได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนที่จะดำเนินเรื่องธัมมชโยอย่างยุติธรรมตามหลักพระธรรมวินัยและกฎหมาย ดังที่ผู้ตรวจการฯ ได้กราบเรียนเสนอไว้
การที่ท่านผู้ตรวจการฯ ได้เสนอไว้ให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อสรุปผลให้ มส. พิจารณานั้น น่าจะเป็นทางแก้ปัญหาที่นุ่มนวลที่สุด ดีกว่าตั้งเวทีดีเบทหรือการทำประชาพิจารณ์ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะกรรมการ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ส่งตัวแทนมาก็ย่อมเสียประโยชน์ สังคมก็จะได้ศึกษาและเรียนรู้การพิจารณาหลักธรรมวินัยโดยคณะสงฆ์และฆราวาสผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุปตามพระธรรมวินัย
ผู้ตรวจการฯ ได้เสนอแนะเรื่องนี้ไปตั้งแต่เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว หากรัฐบาลได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ปัญหาต่างๆ อาจไม่รุนแรงเท่าวันนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่สายที่ท่านจะดำเนินการตามที่ผู้ตรวจการฯ ได้เสนอไว้ เพราะอธิกรณ์ที่มิได้ตัดสินโดยธรรมวินัยสามารถรื้อฟื้นได้
ดิฉันมีข้ออ้างอิงที่จะสนับสนุนคำกล่าวนี้ นั้นคือคำยืนยันของ นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่แถลงยอมรับว่าการพิจารณา “คดีทางสงฆ์” ได้ยุติลงตั้งแต่ศาลชั้นต้นทางสงฆ์ และ “ไม่มีการพิจารณา” ไปถึงกระบวนการที่ชี้ชัดว่า“ธัมมชโยอาบัติปาราชิกหรือไม่?”
จากคำแถลงของนายพนม สามารถตีความได้ว่า “อธิกรณ์ยังไม่เคยผ่านการพิจารณาในศาลสงฆ์เลย” นั่นหมายความว่านายพนมยอมรับว่า “อธิกรณ์ยังไม่ได้มีการระงับอธิกรณ์โดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย” การที่มีผู้อ้างว่ารื้อฟื้นอธิกรณ์ไม่ได้อีกเพราะจะอาบัติ จึงน่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการไม่ระงับอธิกรณ์ให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยต่างหากที่ถือเป็นอาบัติ
และถือเป็นกรรมต่อสงฆ์ด้วย!!!
วิรังรอง ทัพพะรังสี
ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัย
เพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี