วันเสาร์ ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568
5 เมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่สปอตไลท์การเมืองกำลังฉายไปที่ “มีชัย ฤชุพันธ์ุ” ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ขณะกำลังกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “กรอบแนวคิดในการร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ที่ห้องสัมมนากลาง สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เนื่องในโอกาสครบรอบ 109 ปีชาตกาล “อ.สัญญา ธรรมศักดิ์”
แต่ที่ “ท่าพระจันทร์” ยังมีเวทีสัมมนาวิชาการเล็กๆ อีกงานหนึ่ง คือ การเสวนาเรื่อง “เศรษฐกิจสีเขียว GREEN ECONOMY ทุนนิยมแบบสร้างภาพหรือทางเลือกเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง” ซึ่งจัดโดยคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีวิทยากรหลัก 3 ท่าน คือ “Dr.Jose A. Puppim de Oliveira” จาก International Institute for Global Health United Nations University, “ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์”ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และ คุณ “รสนา โตสิตระกูล” อดีตสมาชิกวุฒิสภา และเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย
ขณะที่เนื้อหาการประชุม พอจะสรุปได้คร่าวๆ คือ ปัจจุบันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมตามมามากมาย แนวคิดที่ว่า “เมื่อประเทศได้รับการพัฒนา จะทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมน้อยลง” ไม่เคยเป็นความจริง เพราะประเทศที่พัฒนาจนร่ำรวยและดูเหมือนมีสิ่งแวดล้อมที่ดีแล้ว มีการนำธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของตัวเองไปตั้งฐานการผลิตไว้ในประเทศที่ด้อยพัฒนา ซึ่งไม่มีกฎหมายปกป้องสิ่งแวดล้อมที่ดีพอ จึงไม่ต่างจากการสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนประเทศไทย แทบไม่มีความหวังกับเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว เพราะมุ่งแต่จะพัฒนาโดยไม่มีขีดจำกัด แม้จะมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่ก็ยังคงเกิดความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย เนื่องจากมัวมุ่งเน้นแต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการ “ถลุง” ทรัพยากรกันอย่างไม่บันยะบันยัง
ข้อสำคัญอีกประการ ก็คือ ขณะที่หลายประเทศกำลังให้ความสนใจประเด็นเรื่อง “พลังงานหมุนเวียน” กันอย่างแพร่หลาย แต่ประเทศไทยกลับยังนิ่งเฉยในเรื่องดังกล่าว ทั้งที่เรื่องนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของ “เศรษฐกิจสีเขียว” ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2558 ประเทศไทยใช้ไฟฟ้ารวมกัน 192,190 ล้านหน่วยขณะที่เยอรมนีสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้รวม 194,000 หน่วย ดังนั้นหากประเทศไทยวางอนาคตเรื่องการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนกันอย่างเต็มที่ ก็มีโอกาสทำให้เกิด “ทางรอด”ของวิกฤติพลังงานในอนาคตได้
ถ้าทำเรื่องนี้กันอย่างจริงๆ จังๆ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมานั่งเถียงกันอีกว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มในอนาคต
ฟังดูแล้วโดยส่วนตัวผมค่อนข้างคล้อยตามนะครับ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นว่า เรื่องพลังงานหมุนเวียนต่างๆ เหล่านี้เราทำได้ แต่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีรัฐบาลไหนที่คิดจะผลักดันกันอย่างจริงๆ จังๆ แม้กระทั่งระบบเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าบนหลังคา หรือ “โซลาร์ รูฟ” ก็ยังถูกจำกัดแทบไม่ได้เกิดอยู่ในขณะนี้
ทุกวันนี้ผมเห็นแค่จะเอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือจะถางป่าสร้างเขื่อนกันให้ได้
ดังนั้นถ้าจะให้สรุปตอนนี้ จึงอาจต้องใช้คำว่า “เศรษฐกิจสีเขียว” และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยที่ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐบาล หรือใครต่อใครพูดถึงเวลานี้ มันก็ไม่ต่างจาก“วาทกรรม” ที่ใช้สร้างภาพให้ตัวเองกันไปวันๆ เท่านั้นเอง
เจริญครับ ประเทศไทย
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี