ภาพประกอบข่าว
พายุถล่ม39จว.อ่วม
ดับ4-บ้านพินาศ9พันหลัง
จ่อซ้ำอีกระลอก4-7พค.นี้
ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดี ปภ.กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน–1 พฤษภาคม 2559 มีจังหวัดได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน 39 จังหวัด 154 อำเภอ 358 ตำบล 887 หมู่บ้าน แยกเป็น ภาคเหนือ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ ตาก อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และพิจิตร ภาคกลาง 12 จังหวัด ได้แก่ นครสวรรค์ อ่างทอง สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี สมุทรสงคราม นครนายก กรุงเทพฯ ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์
ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู กาฬสินธุ์ และขอนแก่น ภาคตะวันออก 1 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา บ้านเรือนเสียหาย 9,496 หลังคาเรือน โรงเรียน 2 แห่ง วัด 5 แห่ง สถานที่ราชการ 3 แห่ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย และผู้เสียชีวิต 4 ราย ซึ่งรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จึงกำชับให้ ปภ. ร่วมกับฝ่ายปกครอง และหน่วยทหารในพื้นที่ดูแลและให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่
สั่งเตรียมรับมือพายุ4-7พ.ค.นี้
อธิบดี ปภ. กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 2-3 พฤษภาคมนี้ ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงเป็นแห่งๆ ส่วนวันที่ 4-7 พฤษภาคม มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และมีลมกระโชกแรงบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จึงได้ประสานจังหวัด และ ปภ.เขตในพื้นที่เสี่ยงภัยจัดเจ้าหน้าที่ มิสเตอร์เตือนภัยติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชม. แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเตรียมพร้อมรับมืออันตรายจากพายุฤดูร้อน รวมถึงกำชับให้ตรวจสอบสิ่งก่อสร้าง ป้ายโฆษณา ต้นไม้ กิ่งไม้บริเวณริมถนนและพื้นที่ชุมชนให้อยู่ในสภาพปลอดภัย ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยสามารถขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชม.
พายุถล่มโคราช/ไฟดับทั่วเมือง
วันเดียวกัน เกิดพายุฝนพัดถล่มในหลายพื้นที่ของ อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทำให้โครงเหล็กและหลังคา ของอู่ต่อรถบัสโดยสาร ตั้งอยู่ริมถนนราชสีมา-ปักธงชัย ขาเข้าตัวเมือง บริเวณทางเข้าหมู่บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก พังถล่มลงมาทั้งแถบยาวกว่า 80 เมตร ทับรถบัสเสียหาย 4 คัน ทับเสาไฟฟ้าข้างทางหักโค่นระเนระนาด และโครงหลังคายังปิดทับผิวถนนเส้นทางเข้า-ออกบ้านเรือนประชาชน 2 หมู่บ้านถูกตัดขาด ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอ้อมและไฟฟ้าดับทั้งหมู่บ้าน ขณะเดียวกันพายุยังพัดเอาต้นไม้ขนาดใหญ่ริมถนน 304 ขาออกตัวเมือง ต.หนองจะบก โค่นทับผิวถนน 1 ช่องจราจร ทำให้รถติดยาวเหยียด ตำรวจทางหลวงและหน่วยกู้ภัย นำเลื่อยยนต์ตัดแยกชิ้นส่วนต้นไม้เพื่อเคลียร์พื้นที่นานกว่า 30 นาที จึงสามารถเปิดช่องทางจราจรกลับสู่ปกติ
บุรีรัมย์-สระน้ำประปาใกล้แห้ง
ขณะเดียวกัน ยังมีหลายจังหวัด ประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก โดยที่ จ.บุรีรัมย์ ตัวแทนชาวบ้าน จาก 3 หมู่บ้าน ประกอบด้วย บ.ม่วง หมู่ 5, บ.ม่วงใต้ หมู่ 8 และ บ.ชุมทอง หมู่ 13 ต.พระครู อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ร่วมกันเรียกร้องให้ทาง อบต. อำเภอ หรือจังหวัดเร่งหาแนวทางช่วยเหลือ หลังสระน้ำกลางหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ใช้ผลิตประปาบริการประชาชน 3 หมู่บ้านกว่า 400 ครัวเรือน รวมถึงวัด 2 แห่ง และโรงเรียนอีก 1 แห่งในเขตบริการ มีสภาพตื้นเขินใกล้แห้งขอด คาดจะสามารถใช้ผลิตประปาได้อีกประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น จึงอยากร้องขอให้หน่วยงานภาครัฐได้เร่งหาแนวทางช่วยเหลือชาวบ้าน โดยวิธีการสูบผันน้ำมาเติม หรือเจาะบ่อบาดาลเพื่อสูบน้ำขึ้นมาพักไว้ในบ่อใช้สำหรับผลิตประปา หรือนำน้ำมาแจกจ่ายให้ชาวบ้าน
ชัยนาทแล้งจัดต้นไม้ยืนต้นตาย
ส่วนที่ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ต้นไม้ของชาวบ้านกำลังขาดน้ำแห้งตาย โดยที่คลองชลประท่านในพื้นที่ ต.แพรกศรีราชา มีสภาพแห้งขอดจนเหลือแต่ดินที่แตกระแหงติดอยู่ก้นคลอง เพราะไม่มีการผันน้ำเข้าคลองมากว่า 4 เดือนแล้ว ขณะที่ต้นสักจำนวนกว่า1,000 ต้น เริ่มได้รับผลกระทบ กลายเป็นต้นไม้ที่ไร้ใบเหมือนจะยืนต้นตาย ส่วนพืชที่ได้รับผลกระทบจนเสียหายอย่างชัดเจนคือต้นกล้วยที่เริ่มขาดน้ำแห้งตาย ชาวบ้านได้แต่รอความหวังจากฝนตามฤดูกาลเท่านั้น
กรมชลมั่นใจมีน้ำใช้ถึงสิ้นก.ค.
นายเอกศิษฐ์ ศักดีธนาภรณ์ ผอ.โครงการเขื่อนเจ้าพระยา เปิดเผยว่าระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาปัจจุบันวัดได้ 14.09 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง(ม.รทก.) ระดับน้ำท้ายเขื่อนวัดได้ 5.96 ม.รทก. ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาคงอัตราการระบายน้ำไว้ที่ 75 ลบ.ม./วินาที เพื่อผลักดันน้ำเค็ม รักษาระบบนิเวศ และผลิตน้ำประปาในจังหวัดภาคกลาง โดยจากปริมาณน้ำต้นทุนใน 4 เขื่อนหลักคือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำที่สามารถใช้งานได้จริงรวมกัน 1,780 ล้าน ลบ.ม. ทำให้กรมชลประทานยังมั่นใจได้ว่า จะมีน้ำใช้ในการอุปโภค-บริโภคไปได้อย่างน้อยถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
พังงาต้องพึ่งรถสูบน้ำระยะไกล
ที่ จ.พังงา นายอานุภาพ รอดขวัญ ยอดระบำ นายอำเภอทับปุด พร้อมด้วย นางกุลธารินทร์ โรจนสุรสีห์ หัวหน้าสำนักงาน ปภ. จังหวัดพังงา นำรถสูบน้ำระยะไกลจากศูนย์ ปภ.เขต 18 ภูเก็ต เข้าช่วยเหลือประชาชน ในเขต อ.ทับปุด ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หลังจากฝนได้ทิ้งช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยมีนายสมพร โบบทอง นายก อบต.บ่อแสน พร้อมด้วยกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน นำชาวบ้านกว่า50 คน ช่วยเจ้าหน้าที่ติดตั้งและวางสายส่งน้ำขนาดใหญ่ในระยะทางกว่า2.5 กม. จากคลองลำไทรมาศ ม.6 ต.ทับปุดไปยังสระเก็บน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา ขนาด 5ไร่ ในพื้นที่ ม.6 ต.บ่อแสน ซึ่งแห้งขอดมานานนับเดือนแล้ว ทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนัก ซึ่งรถสูบน้ำระยะไกลคันนี้ จะส่งน้ำได้ 1.5 คิว/นาที คาดว่าจะเติมน้ำให้เต็มสระภายในเวลา 2 วัน
ไฟไหม้ป่าพรุ2สัปดาห์วอด100ไร่
วันเดียวกัน ได้เกิดเหตุไฟไหม้ป่าพรุและสวนชาวบ้าน บ้านตาเซะใต้ หมู่ 6 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ต่อเนื่องเป็นเวลาร่วม 2 สัปดาห์ ส่งผลทำให้พื้นที่ป่าสไหงปาดีได้รับความเสียหายพื้นที่กว่า 100 ไร่ และยังคงมีไฟปะทุขึ้นมาตลอดเวลา เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องระดมรถน้ำบรรเทาสาธารณภัยของ 6 อบต. และ 1 เทศบาล ของ อ.สุไหงปาดี ฉีดน้ำสกัดต้นเพลิง ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ชั้นใต้ผิวดิน ขณะที่บริษัทสองกำนันได้สนับสนุนรถแม็คโค เข้าขุดร่องน้ำทำแนวกันไฟระยะทางยาว 5 กม. ส่วนผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าในบริเวณดังกล่าว ทำให้พื้นที่ใกล้เคียง อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ อ.เจาะไอร้อง อ.แว้ง และ อ.เมือง จ.นราธิวาส เริ่มมีกลุ่มหมอกควันปกคลุมกระจายทั่วพื้นที่ และส่งกลิ่นเหม็นเป็นบริเวณกว้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี