วันศุกร์ ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2568
18 พ.ค.59 นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่ากรมหม่อนไหมได้ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมปรับเปลี่ยนอาชีพให้เหมาะสมกับพื้นที่เพื่อสู้วิกฤติภัยแล้งโดยล่าสุดมีการ นำร่องในพื้นที่บ้านคลองใหญ่ ตำบลหนองแซง อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท และตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นสองจังหวัดใน 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งปี 2559
ทั้งนี้ เบื้องต้นได้ร่วมจัดทำประชาคมในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเปิดรับฟังปัญหา ความคิดเห็น และความต้องการของเกษตรกร พร้อมให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม รวมถึงรายได้ที่เกษตรกรจะได้รับต่อการเลี้ยงไหมหนึ่งรุ่น เพื่อให้เกษตรกรใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งพบว่าเกษตรกรให้ความสนใจและตอบรับอย่างดี โดยได้ใช้แปลงของผู้นำกลุ่มเกษตรกรเป็นแปลงต้นแบบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมที่จะปลูกข้าว หรือพืชอื่น ๆ ได้อย่างคุ้มค่า
พร้อมทั้ง ปรับเปลี่ยนพื้นที่จากเดิมไปทดลองปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โดยใช้กระบวนการของประชารัฐเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ส่งเสริมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งกรมหม่อนไหมได้มอบหมายให้ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ สระบุรี ไปดำเนินการสนับสนุนองค์ความรู้และให้คำแนะนำทางวิชาการ พร้อมสนับสนุนต้นพันธุ์หม่อนพันธุ์ดีให้เกษตรกรนำไปปลูกในแปลงต้นแบบ ซึ่งสามารถปลูกหม่อนได้แม้ในพื้นที่จำกัดเพียง 6 ไร่ และยังสนับสนุนให้ใช้น้ำในบ่อกักเก็บที่มีอยู่เดิมมาหล่อเลี้ยงแปลงหม่อนในช่วงหน้าแล้งได้พอเพียงเนื่องจากต้นหม่อนเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย
สำหรับรูปแบบอาชีพหม่อนไหมที่แนะนำให้กับเกษตรกรนั้น จะส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอุตสาหกรรม หรือเลี้ยงไหมเพื่อขายรัง ซึ่งกรมหม่อนไหมได้ประสานงานกับบริษัทจรูญไหมไทย ในการรับซื้อผลผลิตรังไหมของเกษตรกรด้วยการทำพันธะสัญญา (Contract Farming) โดยประกันราคาขั้นต่ำกิโลกรัมละ 180 – 200 บาท ตามเกณฑ์การรับซื้อตามหลักมาตรฐานการรับซื้อรังไหม (พิจารณาตามเปอร์เซนต์เปลือกรัง,รังดี/รังเสีย)

ทั้งนี้ รายได้จากการที่เอกชนรับซื้อรังไหมสดจากเกษตรกรที่ร่วมโครงการ ประมาณการผลผลิตและรายได้เกษตรกรที่ร่วมโครงการ พื้นที่ 6 ไร่ จะผลิตหม่อนเฉลี่ย 1,800 – 2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี ผลผลิตรังไหม 60 กิโลกรัม/กล่อง ผลผลิตรังไหม 720 กิโลกรัม/ปี มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 10,000 บาท/เดือน นอกจากนี้ยังส่งเสริมการปลูกหม่อนผลสด การปลูกหม่อนเพื่อขายใบ การทอผ้าไหม หรือทอผ้าไหมผสมเส้นใยอื่น ๆ
รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนและไหม โดยจะอบรมหลักสูตรการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การทอผ้า ตลอดจนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แก่เกษตรกร และดำเนินการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับเกษตรกรด้วยระบบการกู้ยืมเงินแบบปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อสนับสนุนการลงทุนเริ่มแรกในการสร้างโรงเลี้ยงไหมตามแบบมาตรฐาน พร้อมวัสดุอุปกรณ์การเลี้ยงไหมครบชุด
“โครงการส่งเสริมปรับเปลี่ยนอาชีพให้เหมาะสมกับพื้นที่เพื่อสู้วิกฤติภัยแล้ง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กรมหม่อนไหมได้ไปขับเคลื่อนนำร่องในจังหวัดชัยนาท และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะช่วยสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมประมาณ 1,000 ราย ในขณะเดียวกันก็จะเป็นฟาร์มต้นแบบด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมให้แก่เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป”อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี