วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
น่าละอายอย่างยิ่งกับพฤติกรรมของกลุ่ม “ชาวม้ง” เจ้าของรีสอร์ทบนภูทับเบิก ที่นำชาวบ้านในพื้นที่กว่า 200 คน บุกออกมาปิดถนนทางเข้าหมู่บ้านทับเบิก เพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ารื้อถอน 19 รีสอร์ทและสถานประกอบการที่ทำผิดกฎหมายบน “ภูทับเบิก” เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา
เพราะนี่ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงการใช้ “กฎหมู่” มาอยู่เหนือกฎหมายเท่านั้นแต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่สำเหนียก ไม่สำนึก ถึงพฤติกรรมความผิดของตัวเองที่บังอาจบุกรุกที่ดิน ทำลายธรรมชาติ สร้างรีสอร์ท สร้างที่พัก กอบโกยผลประโยชน์ให้กับตัวเองอย่าง
หน้าด้านๆ มาอย่างต่อเนื่องนานแสนนาน
หากจะย้อนที่มาของที่ดินบน“ภูทับเบิก” แม้แต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดจะไม่ใช่พื้นที่อุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าสงวน โดยเป็นเพียงที่ดินที่อยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ โดยต่อมาเมื่อปี 2509 คณะรัฐมนตรีมีมติมอบที่ดินให้กับ “กรมประชาสงเคราะห์” จำนวน
175,000 ไร่ เพื่อนำไปพัฒนาเป็นนิคมสร้างตนเองให้ชาวเขาเข้าไปใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร แต่ต่อมาปี 2544 เกิดเหตุดินโคลนถล่มครั้งใหญ่ ทำให้คณะรัฐมนตรี มีมติคืนที่ดินให้กับกรมป่าไม้ โดยกันไว้ให้กลุ่มชาวเขาไว้ใช้สอย 47,000 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นพื้นที่ “ภูทับเบิก” และใกล้เคียง ประมาณ 12,000 ไร่ ที่เหลืออยู่ในพื้นที่ “เขาค้อ”
รัฐบาลในครั้งนั้นได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินทำกินและทำการเกษตร ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ โดยชาวเขาได้ใช้พื้นที่ดังกล่าวปลูก “กะหล่ำปลี” จนมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่การครอบครองที่ดินบนภูทับเบิก ส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิ จะมีก็เพียงใบภาษีบำรุงท้องที่ หรือ ภทบ.5 ในบางแห่งบางจุดเท่านั้น ทำให้ต่อมาเมื่อการท่องเที่ยวบนภูทับเบิกเริ่มบูม จึงเริ่มมีการบุกรุกที่ดิน รวมถึงแปลสภาพที่ดินจากพื้นที่การเกษตรมาสร้างรีสอร์ทที่พักไม่เว้นแม้แต่การนำที่ดินไปขายต่อให้ “กลุ่มนายทุน” เพื่อเข้ามาตักตวงผลประโยชน์กันอีกทอดหนึ่ง
ดังนั้นไม่ว่ามองในมุมไหนการก่อสร้างรีสอร์ท ร้านค้า และที่พัก บนภูทับเบิก จึงถือเป็นการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ทั้งสิ้น และไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไม รีสอร์ทชุดแรก 19 แห่ง ที่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว จึงมีความผิด และจะต้องถูกรื้อ
บรรทัดนี้จึงแทบไม่ต้องพูดถึงอีกเลยว่า พฤติกรรม “กฎหมู่” ของชาวม้งที่เกิดขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มันถูกหรือผิด
และที่สำคัญไม่ได้เกี่ยวกับปัญหา “ชาติพันธุ์” เหมือนอย่างที่คนบางกลุ่มพยายามปล่อยข่าวออกมา เพื่อลากโยงไปกล่าวหาปฏิบัติการรื้อถอนรีสอร์ทบนภูทับเบิกของเจ้าหน้าที่ เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเป็นคนเชื้อชาติ สัญชาติไหน ก็ต้องถูกจัดการเหมือนๆ กัน
ต้องไม่ลืมว่า รีสอร์ทที่พักเจ้าปัญหาที่ต้องถูกรื้อถอนไม่ได้มีเพียง 19 รีสอร์ท ที่ศาลมีคำพิพากษาจนถึงที่สุดแล้วเท่านั้น แต่ยังมีอีกอย่างน้อยเกือบ 100 แห่ง ซึ่งเป็นของคนในพื้นที่และนายทุนนอกพื้นที่ที่อยู่ในข่ายต้องถูกดำเนินการเช่นกัน และนี่ก็ยังไม่รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องพบกับปัญหาในลักษณะเดียวกัน
การเปิดเกมรุกสางปัญหากับ 19 รีสอร์ทบน “ภูทับเบิก” ที่คาราคาซังมานานของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ จึงถือเป็นปฏิบัติการสำคัญ ที่จะถอยไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะนั่นจะไม่ได้เป็นเพียงแค่การประกาศยอมให้ “กฎหมู่” มาอยู่เหนือกฎหมายเท่านั้น
แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ยังเป็นเปรียบเสมือนเป็นช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” สำคัญ ที่ก้าวไปสู่การขยายผลจัดการการบุกรุกพื้นที่ของรีสอร์ทที่พักรายอื่นๆ ทั้งบนภูทับเบิกและพื้นที่ต่างๆ ต่อไป
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี