19 ธ.ค. 59 ที่ห้องพิจารณา 203 ศาลจังหวัดมีนบุรี ถ.สีหบุรานุกิจ เวลา 09.30 น. วันที่ 19 ธ.ค..ศาลอ่านคำพิพากษาคดีความผิดต่อชีวิตหมายเลขดำ อ.383/2557 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดาของนายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ โจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้างมือปืนผู้ลั่นไก , น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 74 ปี มารดาของหมอนิ่ม , พญ.นิธิวดี หรือหมอนิ่ม ภู่เจริญยศ อายุ 40 ปี เจ้าของธุรกิจเสริมความงาม อดีตภรรยาของนายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย , นายสันติ หรืออี๊ด ทองเสม อายุ 30 ปี อาชีพทนายความ และนายธวัชชัย หรืออ้น เพชรโชติ อายุ 35 ปี อาชีพรับจ้าง ผู้ขี่จยย.พามือปืนก่อเหตุ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริม ให้ฆ่า , มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ
ตามฟ้องของอัยการโจทก์เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 57 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างเดือน ส.ค.-19 ต.ค. 56 จำเลยที่ 2-4 ได้ร่วมกันจ้างวานใช้ นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 กับพวกที่อยู่ระหว่างหลบหนี ให้ฆ่านายจักรกฤษณ์หรือเอ็กซ์ ต่อมาจำเลยที่ 1 กับพวกได้ใช้อาวุธปืนออโตเมติก ยี่ห้อลูเกอร์ รุ่นโตกาเรฟ ขนาด7.62 ม.ม. ยิงนายจักรกฤษณ์หลายนัด ถูกที่หน้าอก หัวใจ ปอด จนถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของพวกจำเลย ก่อนหลบหนีไป บนถ.รามคำแหง ก่อนหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนติดตามจับกุมจำเลยได้
โดยในชั้นสอบสวนนายจิรศักดิ์ และ น.ส.สุรางค์จำเลยที่ 1-2 ให้การภาคเสธ ส่วน พญ.นิธิวดี อดีตภรรยานายจักรกฤษณ์ และนายสันติ ทนายความ จำเลยที่ 3-4 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี เหตุเกิดที่แขวง-เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ทั้งนี้ระหว่างการพิจารณาคดี น.ส.สุรางค์ มารดาของหมอนิ่ม กับหมอนิ่ม และนายสันติ หรือทนายอี๊ด จำเลยที่ 2-4 ได้ประกันตัวคนละ 5 แสนบาท
ในวันนี้ศาลเบิกตัว นายจิรศักดิ์ มือปืน จำเลยที่ 1 และนายธวัชชัย ผู้ขี่จยย.จำเลยที่ 5 จากเรือนจำ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายเบิกความหักล้างกันแล้ว ฟังได้ว่า พยานโจทก์รู้จักกับ พญ.นิธิวดี มานานกว่า 9 ปี และทราบว่าถูกผู้ตายทำร้าย และขอให้หาคนมาจัดการซึ่งมีการแนะนำให้รู้จักกับนายสันติ จำเลยที่ 4 ซึ่งพยานก็เห็นว่า มีการส่งเงินให้กับนายสันติ ส่วนที่มีพยานเบิกความว่า น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินให้กับนายสันติด้วยนั้น ก็เป็นคำให้การซัดทอดและมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ศาลจึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังประกอบกับพยานบุคคลอื่น
นอกจากนี้โจทก์ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน เบิกความ สรุปสาเหตุความขัดแย้งการสังหารผู้ตายว่า เกิดจากปัญหาในครอบครัว ซึ่งมีพยานอื่นเบิกความสนับสนุนเรื่องที่ผู้ตายคบหากับหญิงอื่น และหญืงคนนั้นเคยพบกับ พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 สร้างความไม่พอใจอย่างมาก ก่อนที่ พญ.นิธิวดี จะพามารดา เข้าแจ้งความร้องทุกข์ถูกผู้ตายทำร้ายร่างกาย กระทั่งผู้ตายถูกจับกุม ภายหลังผู้ตายถูกปล่อยตัวและพบว่าทรัพย์สินในตู้เซฟที่ธนาคารหายไป จึงไปแจ้งความดำเนินคดีกับ พญ.นิธิวดี และเจ้าหน้าที่ธนาคารฯ ในภายหลัง
ทั้งนี้จากการตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 พบว่ามีความเชื่อมโยงกับนายสันติ จำเลยที่ 4 ประกอบกับพนักงานสอบสวน เบิกความด้วยว่า จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน โดยละเอียดว่า รู้จักกับ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 ได้อย่างไร ขณะที่คำเบิกความของนายจำเลยที่ 5 ก็มีรายละเอียดสอดคล้องกับนายจำเลยที่ 1 แม้ภายหลังจะอ้างว่าถูกข่มขู่ให้รับสารภาพ แต่ก็พบว่ามีญาติของจำเลยเข้าร่วมฟังการสอบสวนด้วย
ดังนั้นข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ประกอบคำเบิกความของพยาน และภาพจากกล้องวงจรปิด ประกอบกับข้อมูลการใช้โทรศัพท์ มีน้ำหนักมั่นคงว่า นายจิรศักดิ์ จำเลยที่ 1 , พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 , นายสันติ จำเลยที่ 4 และ นายธวัชชัย จำเลยที่ 5 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาว่า ให้ประหารชีวิตสถานเดียว พญ.นิธิวดี และนายสันติ จำเลยที่ 3-4 ฐานร่วมกันเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดฆ่าผู้อื่นโดยไตรตรองไว้ก่อน และให้ประหารชีวิต นายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย จำเลยที่ 1 และที่ 5 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และ 5 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษคนละ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ5 ไว้ตลอดชีวิต รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันชดใช้เงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีแก่นายมานพ โจทก์ร่วม และนางสมคิด ผู้ร้อง บิดา-มารดานายจักรกฤษณ์ผู้ตายด้วย นับตั้งแต่เดือน ก.ย.57 ที่ได้ยื่นคำร้อง
ส่วนน.ส.สุรางค์ มารดาหมอนิ่มจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานมีพิรุธ น่าสงสัย จึงให้ยกฟ้อง ริบปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนของกลาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างฟังคำพิพากษานายจิรศักดิ์ และนายธวัชชัย ซึ่งสวมชุดนักโทษมีสีหน้าเรียบเฉย ขณะที่น.ส.สุรางค์ มารดาของหมอนิ่ม สวมชุดผ้าไทยสีดำ มีสีหน้าวิตกแสดงความกังวลในช่วงอ่านคำพิพากษาเวลาเกือบ 1 ชม. ส่วนพญ.นิธิวดี สวมชุดสูทสีดำในช่วงแรกมีหน้าเรียบเฉย แต่เมื่อได้ฟังคำพิพากษาระยะหนึ่งได้แสดงความวิตกโดยจับมือกับเพื่อนผู้หญิงที่มาเป็นกำลังใจ ส่วนนายสันติ จำเลยที่ 4 มีสีหน้าเรียบเฉยในสูทสีดำ เสื้อเชิ๊ตสีขาวแขนยาว
ภายหลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัวนายจิรศักดิ์ พญ.นิธิวดี นายสันติ และนายธวัชชัยวดี ไปยังเรือนจำพิเศษมีนบุรี
ด้านนางสมคิด พณิชย์ผาติกรรม มารดาของเอ็กซ์ จักรกฤษณ์ ซึ่งมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็มีความรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด และได้อโหสิกรรมให้กับผู้กระทำผิดมานานแล้วแต่ขณะนี้รู้สึกห่วงหลานทั้งสองคนมาก
นายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความของหมอนิ่ม เปิดเผยว่า ได้ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์เดิมซึ่งเป็นเงินสด 500,000 บาทและเพิ่มหลักทรัพยใหม่เป็นเงินสดอีก 2 ล้านบาท รวมหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 2.5 ล้านบาท พร้อมยื่นหนังสือเดินทางเป็นหลักประกันว่าจะไม่หลบหนี
โดยศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องประกันตัวต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้วลา 2-3 วันกว่าคำสั่งจะตกลงมา ดังนั้น พ.ญ.นิธิวดี จะต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำไปก่อน ส่วนนายสันติ จำเลยที่ 4 ไม่ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวแต่อย่างใด
ขณะที่นายบุญเรือง อุทัยรัตน์ ทนายความของครอบครัว พณิชย์ผาติกรรม โจทก์ร่วม กล่าวว่า คดีนี้ใช้เวลา 3 ปี ซึ่งศาลพิพากษาแล้วให้จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 2.5 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยให้กับนางสมคิด มารดาของนายจักรกฤษณ์ ผู้ตายด้วย ซึ่งเป็นค่าขาดไร้อุปการะให้กับมารดาที่ต้องเสียบุตรชายไป