เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมาก่อนที่อดีตเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สรรเสริญ อัจจุตมานัส จะเกษียณอายุราชการ ได้สร้างผลงานการยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก.จำนวนมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะที่ดินผืนใหญ่ๆ ที่จำนวนมากกว่า 500 ไร่ ซึ่งในจำนวนนี้มีสวนส้มรายใหญ่ทางภาคเหนือรวมอยู่ด้วย ได้แก่ สวนส้มทรายทอง และสวนส้มธนาธร ที่ผู้นิยมรับประทานส้มเขียวหวาน หรือล้มเปลือกล่อน รู้จักกันดี
สวนส้มทั้งสอง อยู่ในเขตอำเภอฝางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มที่สำคัญของไทย สวนส้มทรายทอง ผู้เป็นเจ้าของคือ ดร.ประยูร พลพิพัฒน์พงศ์ เริ่มต้นทำสวนส้มทรายทองเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ปลุกส้มหลากหลายพันธุ์ทั้งเขียวหวาน ฟรีมองต์ ส้มจุก ส้มแก้ว ส้มเช้ง แต่ส้มที่รู้จักกันดีในท้องตลาดคือส้มสายน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นตระกูลส้มเขียวหวาน หรือส้มเปลือกล่อน ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวถูกปากคนไทย ชานนิ่ม ลอกใยออกง่าย นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ส้มที่นำมาจากต่างประเทศ เพื่อนำมาศึกษาทดลองปรับปรุงพันธุ์ด้วย
สวนส้มธนาธร เป็นสวนส้มของเฮีย เป็งฮวด หรือ บัณฑูร จิระวัฒนากูร ที่บุกเบิกทำสวนส้มมาตั้งแต่ปี 2527 นอกจากปลูกแล้ว ยังทำการตลาดเองอีกด้วย จนทำให้ชื่อเสียงของสวนส้มธนาธรโด่งดังไปทั่วประเทศพร้อมๆ กับชื่อ “ส้มสายน้ำผึ้ง” บัณฑูร เป็นเพื่อนคู่ค้ากับ ดร.ประยูร เจ้าของสวนส้มทรายทอง สมัยที่ยังทำธุรกิจค้าขายผักให้กับค่ายทหารอเมริกันที่ตั้งอยู่ในภาคอีสาน ราวปี 2512
เมื่อมาบุกเบิกทำสวนส้ม เฮียเป็งฮวด ก็ทุ่มเท ศึกษาทดลองค้นคว้า หาพันธุ์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย และ เหมาะกับพื้นที่ของอำเภอฝาง จนภายในสวนส้มธนาธรมีส้มกว่า 40 สายพันธุ์ เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักวิชาการและนักวิจัยจำนวนมากต่อเนื่องมาหลายยุคหลายสมัย ความตั้งใจและการแสวงหาความรู้ไม่หยุดนิ่งของเฮียเป็งฮวด ทำให้ได้รับการประกาศเกียรติคุณ และได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากหลายมหาวิทยาลัย
ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ ได้ชี้แจงถึงการยึดคืนที่ดินของสวนส้มในจังหวัดเชียงใหม่กว่า 6,000 ไร่ รวม 3 แห่ง เป็นของสวนส้มธนาธร ที่อำเภอฝาง 2,144 ไร่ สวนส้มทรายทอง ที่อำเภอแม่อาย 3,287 ไร่ และสวนส้มอมรมิตร อำเภอแม่อาย 502 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวเป็นส่วนที่ไม่มีเอกสารสิทธิยืนยันการเป็นเจ้าของ
พื้นที่สวนส้มกว่า 6,000 ไร่ ไม่ใช่เนื้อที่น้อยๆ ผลผลิตส้มก็จำนวนไม่น้อยเช่นกัน ส้มกำลังอยู่ระหว่างการเก็บเกี่ยว หรือใกล้เก็บเกี่ยว การที่เลขาธิการ ส.ป.ก. สมปอง อินทร์ทอง เสนอให้จัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมาบริหารจัดการผลผลิตส้มในพื้นที่ดังกล่าว โดยยืนยันว่า ส.ป.ก. เป็นเจ้าของที่ดิน เกษตรกรเป็นเจ้าของต้นส้มและผลผลิต ขายให้กับเจ้าของสวนเดิมในรูปแบบสหกรณ์ คนงานในสวนส้มไม่ตกงาน สามารถทำงานในสวนส้มได้ตามปกติ แต่เปลี่ยนเจ้าของสวน ให้เจ้าของสวนมาเป็นผู้ซื้อ ให้สหกรณ์จ่ายค่าแรง แต่กว่าจะจัดตั้งสหกรณ์ได้คาดว่าจะต้องรอไปถึงเมษายน – พฤษภาคม 2560 โน่น แล้วผลผลิตที่กำลังจะออกในช่วง 1- 2 เดือนนี้จะทำอย่างไร
สวนส้ม เป็นพื้นที่ที่ถูกมองว่า ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชมากพื้นที่หนึ่ง เพราะส้มมีศัตรูพืชมาก ทั้งเชื้อรา โรค และ แมลง สวนส้มหลายแห่งต้องล่มสลายไปเพราะไม่สามารถจะรักษาสวนให้รอดพ้นจากการทำลายของศัตรูพืชได้ ล่าสุดยังมีประเด็นการใช้ยาปฏิชีวนะฉีดต้นส้มรักษาโรคอีก ชาวสวนส้มเคยรวมตัวกันเรียกร้องให้หน่วยราชการเข้ามาช่วยเหลือทั้งด้านการผลิต และการตลาด แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากหน่วยงานใด เกษตรกรต้องช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นบริษัทที่มีสายป่านยาวจึงอยู่รอด เกษตรกรรายย่อย พื้นที่ปลูกไม่กี่ร้อยไร่ก็ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ ไล่ไปตั้งแต่รังสิต ปทุมธานี กำแพงเพชร แพร่ ไปจนถึงเชียงใหม่ที่กำลังเป็นประเด็นพื้นที่ ส.ป.ก.นี้
ทางภาคใต้ก็มีพื้นที่ปลูกส้มเปลือกล่อน ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีคือ ส้มโชกุน สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ยะลา แต่พื้นที่ปลูกไม่มากเท่าภาคเหนือ ที่สำคัญคือ ประสบอุทกภัยบ่อยๆ สวนส้มก็ล่มสลายไปเช่นกัน
กระทรวงเกษตรฯ คงต้องคิดหาแนวทางพัฒนาการผลิตส้มภายในประเทศให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ราคาดีมาก รสชาติดีกว่าส้มที่นำเข้าจากต่างประเทศ จะยึดคืนพื้นที่ ส.ป.ก. ก็ยึดไป แต่ อย่าให้สวนส้มล่มสลายก็แล้วกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี