กรมชลประทาน เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบและการสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับประเทศ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็น “องค์กรอัจฉริยะที่มุ่งสร้างความมั่นคงด้านน้ำ (Water Security)” โดยสามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้จำนวน 49.5 ล้านไร่ มีปริมาณน้ำเก็บกัก 93.655 ล้านลูกบาศก์เมตร มีการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ 14.1 ล้านไร่ มีพื้นที่จัดรูปที่ดิน จำนวน 14.46 ล้านไร่ และมีครัวเรือนได้รับประโยชน์ถึง 7.431 ล้านครัวเรือน ให้ได้ภายในปี 2579 ดังนั้นในปี 2561 จึงได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์กรมชลประทานขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนงานให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวภายใน 20 ปี
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของกรมชลประทานที่กำหนดขึ้นมาจะสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ 20 ปี รวมทั้งเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ตลอดจนแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรน้ำอีกด้วย
ทั้งนี้ในปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่กรมชลประทานจะมีอายุครบ 116 ปี ได้มีการกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไว้ 7 ด้าน ภายใต้กรอบแนวคิด “RID No.1” ซึ่งประกอบด้วย
ด้านแรก กรมชลประทานจะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษคือ การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการตามพระราชดำริ โดยเร่งรัดงานพระราชดำริที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จำนวน 159 โครงการ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 พร้อมทั้งดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการและติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ
ด้านที่สอง การปรับปรุงกระบวนการจัดทำแผนงานและงบประมาณทั้งระบบ โดยจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาลุ่มน้ำในระดับจังหวัด กลุ่มจังหวัด และระดับภาค พร้อมทั้งปรับปรุงการจัดแผนงานระยะปานกลาง (MTEF) เช่น แผนศึกษา สำรวจ ออกแบบ จัดหาที่ดิน ก่อสร้าง แผนงาน
ปรับปรุงระบบชลประทาน แผนงานซ่อมแซมระบบชลประทาน เป็นต้น เพื่อให้มีความสอดคล้องกันและสามารถปฏิบัติได้จริง สามารถจัดสรร
งบประมาณให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กรมชลประทาน และปี 2561 จะเป็นปีแรกที่ริเริ่มแนวทาง PPP (Public - Private Partnership) ซึ่งเป็นการร่วมทุนภาครัฐและเอกชนมาใช้ในการทำงานชลประทาน
ด้านที่สาม กรมชลประทานจะการเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ประกอบด้วย การเร่งรัดการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กให้เป็นไปตามแผน โดยโครงการขนาดใหญ่ที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีนี้ที่สำคัญคือ โครงการคลองระบายน้ำหลาก บางบาล-บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อผันน้ำเลี่ยงตัวเมืองพระนครศรีอยุธยาให้ระบายน้ำได้สูงสุดประมาณ 1,200 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม./วินาที) โดยจะเริ่มทำการปักหมุดกันพื้นที่ที่จะก่อสร้าง คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 2562 และโครงการคลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก เพิ่มอัตราการระบายน้ำจาก 130 ลบ.ม./วินาที เป็น 930 ลบ.ม./วินาที ระยะทางยาว 120 กม. โดยได้เริ่มทำการสำรวจและออกแบบรายละเอียดแล้ว คาดว่าจะก่อสร้างได้ในปี 2561 นอกจากนี้จะดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราช การพัฒนาระบบการแพร่กระจายน้ำในระดับแปลงนาให้ครอบคลุม พร้อมทั้งจัดทำแผนงานรองรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC)
ด้านที่สี่ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ โดยการต่อยอดศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ หรือ SWOC ให้สามารถพยากรณ์และเตือนภัยได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งทำการปรับปรุงโครงการชลประทานที่มีอายุการใช้งานมานานให้สามารถใช้งานสอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันได้ ตลอดจนสร้างทางเลือกในการดำเนินการส่งน้ำและบำรุงรักษาในงานชลประทาน ดำเนินการตรวจสอบ วิเคราะห์ ความมั่นคงของเขื่อน (dam safety) โดยจะปรับปรุงให้มีความมั่นคงแข็งแรง รวมทั้งจะดำเนินการวางแผนเตรียมการรับมืออุทกภัยและภัยแล้ง การบูรณาการความร่วมมือกับ Single Command ในระดับพื้นที่
นอกจากนี้ ยังจะพัฒนาสถานีทดลองการใช้น้ำชลประทานทั้ง 882 แห่ง ให้เป็นศูนย์เรียนรู้และศูนย์เครือข่ายของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร พร้อมทั้งพัฒนาศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เชียงใหม่ และศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชนอย่างเพียงพอ ดำเนินการตรวจสอบการใช้พื้นที่ราชพัสดุและแก้ไขปัญหาการบุกรุกของราษฎร พัฒนาปรับปรุงเพื่อใช้พื้นที่เขตคลองเป็นพื้นที่แก้มลิง และขยายผลพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในยามวิกฤติ
ด้านที่ห้า กรมชลประทานจะเร่งทำการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน ของกระบวนการพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการน้ำ การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยจากน้ำ การเร่งรัดการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ ในรูปแบบคณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC) และอาสาสมัครชลประทานให้เต็มพื้นที่ชลประทาน และทบทวนการดำเนินการโครงการ 1 โครงการ 1 ล้านบาท
ด้านที่หก การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาและบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาระบบการทำงานและกระบวนการที่ทันสมัยบนฐานดิจิทัล หรือ Digital Platform การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน (Big Data) รวมทั้งการเร่งรัดการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องจักร เครื่องมือ ที่ทันสมัยมาใช้ในการปฏิบัติงาน
และด้านที่เจ็ด กรมชลประทานจะดำเนินการพัฒนาองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน การปรับปรุงและดูแลพิพิธภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม การเร่งรัดการปรับโครงสร้างหน่วยงาน การดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังผู้ปฏิบัติผ่านกิจกรรม KM และ Unit School การน้อมนำศาสตร์พระราชาไปสู่การปฏิบัติ ผ่านหลักสูตรการอบรม การเตรียมการเพื่อรองรับสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ตลอดจนการเตรียมการเพื่อรองรับแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(ด้านทรัพยากรน้ำ) และการส่งเสริมให้บุคลากรปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กร
อธิบดีกรมชลประทานกล่าวต่อว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว กรมชลประทานได้แบ่งการทำงานเป็น 4 ระยะดังนี้ ระยะแรก เริ่มตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมาจนถึงปี 2564 เป็นช่วงเสริมพลังใหม่สู่การเปลี่ยนแปลง โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ พร้อมทั้งเชื่อมโยงระบบงานสำคัญให้เป็นระบบเดียว ระยะที่สอง ตั้งแต่ปี 2565-2569 เป็นการสร้างภาคีเครือข่ายและความร่วมมือ เป็นศูนย์กลางการควบคุมและบริหารน้ำระบบอัจฉริยะ และจะมีการก่อสร้างระบบชลประทานด้วยนวัตกรรมชั้นสูง
ระยะที่สาม ตั้งแต่ปี 2570-2574 จะเป็นการปฏิรูประบบกระบวนงาน มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านชลประทานและการบริหารจัดการน้ำ
ให้กับหน่วยงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระยะที่สี่ ตั้งแต่ปี 2575-2579 เป็นการดำเนินการให้กรมชลประทานเป็นองค์กรอัจฉริยะ สร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับประเทศชาติสำเร็จตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของการบริหารจัดการน้ำที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ก็คือ ความมีเอกภาพในการบริหารจัดการมากขึ้น หลังจากที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ใช้อำนาจตาม ม.44 จัดตั้ง สำนักบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ขึ้นมา ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ ตลอดจนวางแผนในการบริหารจัดการน้ำ ในส่วนของกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำหน่วยงานอื่นๆ จะเป็นหน่วยงานปฏิบัติ ความซ้ำซ้อนก็จะไม่เกิดขึ้น
“ทิศทางการทำงานของกรมชลประทานในปัจจุบันและอนาคต ถ้าหากสามารถดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ทั้งยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนยุทธศาสตร์ของกรมชลประทานให้สัมฤทธิผล จะทำให้กรมชลประทานเป็นองค์กรอัจฉริยะ ที่จะสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับประเทศได้อย่างแน่นอน” อธิบดีกรมชลประทานกล่าวยืนยัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี