ศาลแพ่งสั่ง“เสี่ยศุภชัย”กับพวก คืนเงินสหกรณ์คลองจั่นฯ 9 พันล้านบาท
1 ก พ.61 ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลอ่านคําพิพากษา คดีที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จํากัด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ กับพวก รวม 41 คน เป็นจําเลย เรื่องขอให้ใช้เงิคืน 9,522,533,049.50บาท ซึ่งศาลแพ่งมีได้มีคําสั่ง ให้รวมการพิจารณาคดี หมายเลขดําที่ พ.3628/2557 และ พ.4462/2557เข้าด้วยกัน
โดยโจทก์ฟ้องทั้งสองสํานวนสรุปพฤติการณ์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1ม.ค. 2552 - 30 พ.ค. 2555 ขณะที่นายศุภชัย จําเลยที่ 1ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการดําเนินการสหกรณ์โจทก์ จําเลยที่ 1ได้ใช้อํานาจหน้าที่ โดยมิชอบโดยไม่ได้กระทําภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ด้วยการเบิกจ่ายเงินเป็นเช็ครวม 878 รายการ เป็นเงิน 11,367,218,813.84บาท โดยทุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและ เพื่อประโยชน์ผู้อื่น โดยอ้างว่าเป็นการทดรองจ่าย แต่ไม่มีการนําเงินที่เบิกจ่ายมาส่งคืนให้แก่โจทก์โดยได้สั่งจ่ายเช็คให้แก่บุคคลภายนอก รวม 191 รายการ เป็นเงิน 4,036,846,911.44บาท,สั่งจ่ายเช็คให้แก่จําเลยที่ 2 รวม 22 รายการเป็นเงิน 119,020,000 บาท
ทั้งนี้ จําเลยที่ 3 เป็นรองผู้จัดการใหญ่ของสหกรณ์ฯโจทก์ได้ลงนามสั่งจ่ายเช็คร่วมกับ จําเลยที่ 1โดยไม่มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งจ่าย ส่วนจําเลยที่ 4 และที่ 5เป็นเจ้าหน้าที่การเงินสหกรณ์โจทก์ได้ใช้อํานาจหน้าที่ของตนร่วมกันจงใจ ยินยอมและสนับสนุนให้จําเลยที่ 1เบียดบังและยักยอกเงินของสหกรณ์ฯโจทก์
ส่วนจําเลยที่ 6 - 9 ได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากการที่จําเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์ฯโจทก์อันเป็นการได้มาซึ่งเงินหรือทรัพยย์สินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
โจทก์จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งบังคับจําเลยที่ 1และ2ร่วมกันชําระเงินจํานวน 119,020,000บาทพร้อมดอกเบี้ย และบังคับให้จําเลยที่ 1, 3, 4และ5ร่วมกัน ชําระเงินจํานวน 9,522,533,049.50บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จําเลยที่ 1ร่วมกับจําเลยที่ 6 - 9 ชําระเงินคืนส่วนที่จําเลยแต่ละคนได้รับไป
ทั้งนี้ ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอให้เรียก วัดพระธรรมกาย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระญาณมหามุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับ พวก รวม 32คน เข้าเป็นจําเลยร่วม
อย่างไรก็ตามจำเลยต่อสู้คดี และขอให่โจทก์ถอนฟ้องจําเลยที่ 4 - 6และ จําเลยร่วมที่ 30ที่ 31(วัดพระธรรมกาย) และที่ 32 พระราชภาวนาวิสุทธิ์ โดยอ้างว่า คดีโจทก์ขาดอายุความละเมิด 1ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกคืน การใช้สิทธิฟ้องของโจทก์ไม่ใช่การใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืน และทรัพย์สินที่ จําเลยที่ 6-9ได้มานั้น เป็นการได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ทั้งไม่เกี่ยวข้อง กับการกระทําความผิดมูลฐานตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2552 ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าตามระเบียบของสหกรณ์โจทก์ ข้อ 20กําหนดไว้ว่าการ จ่ายเงินให้จ่ายเฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์และเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ เเต่ปรากฏว่าจําเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค 878 ฉบับ โดยระบุในใบสําคัญการจ่ายว่า เป็นเงินทดรองจ่ายให้กับ จําเลยที่ 1จึงไม่ใช่การจ่ายเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์สหกรณ์ฯโจทก์
การกระทําที่ผิดระเบียบของจําเลยที่ 1เป็นการกระทําทุจริตแสวงหาประโยชน์มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองและผู้อื่น โจทก์ในฐานะ เจ้าของเงินตามเช็คซึ่งจําเลยที่ 1ได้สั่งจ่าย จึงมีสิทธิติดตามเอาเงินตามเช็คพิพาท 878 ฉบับคืนได้
จําเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คของโจทก์มอบให้จําเลยที่ 2จํานวน 22 ฉบับ รวมเป็นเงิน 119,020,000บาทโดยระบุในใบสําคัญ จ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของสหกรณ์ที่ให้จ่ายเงินได้เฉพาะเพื่อกิจการภายในขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์
จําเลยที่ 1ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คร่วมกับจําเลยที่ 3จํานวน 841ฉบับ เงินจํานวนดังกล่าวจําเลยที่ 1ได้สั่งจ่ายโดยระบุ ไว้ในใบสําคัญการจ่ายเงินว่าเป็นเงินสํารองจ่ายของจําเลยที่ 1ซึ่งไม่ถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินของ สหกรณ์ ถือได้ว่าจําเลยที่ 1และ3 กระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมายสําหรับตนเองโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อติดตามเงิน จํานวน9,522,533,049.50บาทคืนจากจําเลยที่ 1และจําเลยที่ 3ได้
ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นศาลเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจําเลยและจําเลยร่วม เนื่องจากจําเลยที่ 1และจําเลยที่ 3ร่วมกัน สั่งจ่ายเช็คของโจทก์โดยไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโจทก์และเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับของโจทก์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336ซึ่งไม่มีกําหนดอายุความ ไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดหรือลาภมิควรได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลจึงพิพากษาให้จําเลยที่ 1 กับพวกชําระเงินให้แก่โจทก์จํานวน 9,642,164,453.61บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.59 จนกว่าจะชําระเสร็จ
ส่วนจําเลยร่วมที่ 17,29ให้ยกฟ้องเนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเบิกถอนเงินตามเช็คแล้วนําเงินไปมอบ ใหเจําเลยที่ 4และที่ 5ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้นําไปใช้เป็นส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินให้โจทก์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี