ศาลแพ่งสั่ง“วัดธรรมกาย”คืนเงิน 4 บัญชี กว่า 58 ล้าน ให้สหกรณ์คลองจั่นฯ ชี้เงินยักยอกไม่สุจริต
1 ก.พ.61 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ม.ค.61 ที่ผ่านมา ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคาร ธนชาติ จำกัด (มหาชน) จำนวน 25,597,194.91 บาท เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,257,934.88 บาท ชื่อบัญชีวัดพระธรรมกาย ผู้คัดค้านที่ 2 และเงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคาร ธนชาติ จำนวน 1,651,227.42 บาท เงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคาร กรุงไทย จำนวน 17,263,081.04 บาท ชื่อบัญชีมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ผู้คัดค้านที่ 3 พร้อมดอกผลตกเป็นของแผ่นดิน
โดยคดีนี้สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานดำเนินการสหกรณ์ ฯ สั่งจ่ายเงินที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 1 ที่ได้มาจากการรับฝากเงิน สะสมหุ้น และดอกผลจากการประกอบธุรกิจของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเงินที่ได้มาโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้นผู้คัดค้านที่ 1 จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของนายศุภชัย จึงขอให้เงินฝากในบัญชีดังกล่าวตกแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ส่วนวัดพระธรรมกาย ผู้คัดค้านที่ 2 และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ฯ ผู้คัดค้านที่ 3 คัดค้านในทำนองเดียวกันว่า ไม่เคยทราบหรือเข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจการของผู้คัดค้านที่ 1 ผู้บริจาคและนายศุภชัยบริจาคให้ผู้คัดค้านที่ 2 และพระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายโดยสมัครใจ เปิดเผย และไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิด ผู้คัดค้านที่ 2 รับเงินหรือเช็คจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์โดยสุจริต และนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 ใช้ในการกุศลสาธารณประโยชน์และสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อประโยชน์ทางพุทธศาสนาจนหมดสิ้น
ส่วนเงินที่เหลือในบัญชีล้วนเป็นของผู้บริจาคอื่น และไม่เคยร่วมกับนายศุภชัยกับพวกโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหาผลประโยชน์หรือกำไรทางเศรษฐกิจ มีประชาชนจำนวนมากเคารพศรัทธาต่อผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 จึงบริจาคทรัพย์สินบำรุงส่งเสริมและจรรโลงพุทธศาสนา เงินในบัญชีจึงเป็นเงินบริจาคที่ได้รับมาโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า นายศุภชัยสั่งจ่ายเช็คของสหกรณ์ ฯผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 27 ฉบับ เป็นเงินรวม 1,458,560,000 บาท เป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน มีลักษณะเป็นปกติธุระ เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยักยอกเกิดขึ้นอันเป็นความผิดมูลฐาน และเมื่อมีความผิดมูลฐานเกิดขึ้น พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานตกเป็นของแผ่นดิน
นอกจากนี้ผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 ยังกระทำการอันมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการรายงานการทำธุรกรรมเป็นระยะเวลาหลายปีหลายครั้ง ส่อแสดงให้เห็นว่ากระทำเพื่อปกปิดลักษณะที่แท้จริงของแหล่งที่มาของเงิน เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเกิดขึ้น ประกอบกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดผู้คัดค้านที่ 2 ได้แต่งตั้งในนายศุภชัยเป็นไวยาวัจกรของผู้คัดค้านที่ 2 เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 เกี่ยวข้องกับนายศุภชัย และผู้คัดค้านที่ 3 เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายศุภชัยโดยผ่านทางพระราชภาวนาวิสุทธิ์ พฤติการณ์ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์ค้ำจุนกันเช่นว่านั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างกันที่มีมากกว่าเพียงการศรัทธาของบุคคลทั่วไป
ทั้งนี้ผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 ไม่มีหลักฐานความสำเร็จในการประกอบธุรกิจของนายศุภชัยที่เป็นรูปธรรมอันจะพิสูจน์ได้ว่านายศุภชัยบริจาคเงินเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับฐานานุรูป จึงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 รับโอนเงินโดยสุจริตและตามสมควรในทางกุศลสาธารณะ
ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 อ้างว่านำเงินไปใช้ในการกุศลสาธารณะนั้น เห็นว่าเงินในบัญชีดังกล่าวมีทั้งเงินที่ถูกยักยอก เงินที่ใช้ในการฟอกเงิน และเงินบริจาคจากผู้อื่นปะปนระคนกัน ผู้คัดค้านที่ 2 และ 3 จะอ้างไม่ได้ เพราะการใช้เงินดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่สุจริตตั้งแต่ต้น การก่อสร้างศาสนสถานและสถานปฏิบัติธรรมที่ใหญ่โตทั้งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นเหตุให้ต้องมีกิจกรรมระดมเงินให้ได้จำนวนมาก เป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ที่ต้องการตัดวงจรการประกอบอาชญากรรมด้วยการมิให้สามารถนำเงินและทรัพย์สินดังกล่าวมาใช้สนับสนุนการกระทำผิดอื่นได้อีก
กรณีจึงต้องถือว่าเงินที่ยังคงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากทั้ง 4 บัญชี เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้เสียหาย จึงมีอำนาจยื่นคำร้องคัดค้านมิให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 49 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิคนละส่วนกับคดีที่ผู้คัดค้านที่ 1 ฟ้องเพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
ศาลจึงพิพากษาให้ผู้คัดค้าน คืนเงินในบัญชีเงินฝาก ธนาคาร ธนชาติฯ ชื่อบัญชีผู้คัดค้านที่ 3 จำนวน 1,651,227.42 บาท พร้อมดอกผล บัญชีเงินฝาก ธนาคาร ธนชาติฯ ชื่อบัญชีผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 25,597,194.91 บาท พร้อมดอกผล
บัญชีเงินฝาก ธนาคาร กรุงไทย ฯชื่อบัญชีผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 14,257,934.88 บาท พร้อมดอกผล และบัญชีเงินฝาก ธนาคาร กรุงไทยฯ ชื่อบัญชีผู้คัดค้านที่ 3 จำนวน 17,263,081.04 บาท พร้อมดอกผล รวม 58,775,437บาทเศษ คืนแก่ สหกรณ์เครดิต ฯผู้คัดค้านที่ 1 และให้ยกคำร้องของพนักงานอัยการ ผู้ร้องฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี