เปิดบันทึกหน่วย 'พญาเสือ' บุกค้นทุ่งใหญ่หาหลักฐานมัดแก๊งพรานไฮโซ ยันเจตนาชัดมาเพื่อฆ่า 'เสือดำ' โดยเฉพาะ แฉพฤติกรรมอำมหิตดักรุมฆ่า-ยิงซ้ำ ก่อนถลกหนัง-ควักเครื่องในโยนทิ้งข้างทาง พร้อมแล่เนื้อไปกินก่อนโยนกระดูกทิ้ง ฟันธงเป็นเสือตัวเดียวกับที่ถูกดักถ่ายภาพได้
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช ได้เปิดเผยรายงานละเอียดสรุปผลปฏิบัติการลงพื้นที่ทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก เพื่อตรวจหาหลักฐานในคดีลอบฆ่าเสือดำและสัตว์ป่าอื่นๆ ที่มี นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัทอิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน ตกเป็นผู้ต้องหา โดยมีรายละเอียดดังนี้
เป้าหมายการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้ มี 3 เรื่อง คือ
1.พิสูจน์จุดตั้งกล้องดักถ่ายของ สถานีวิจัยสัตป่าเขานางรำ ซึ่งมีข้อมูลว่าเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 ได้ถ่ายเสือดำเพศผู้ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่มีการชำแหละซากเสือดำของกลุ่มนักล่าสัตว์เพียง 100 เมตร จึงต้องพิจารณาว่า เสือที่ถูกฆ่าจะใช่ตัวเดียวกันกับที่ถูกบันทึกภาพไว้หรือไม่ และอยู่จุดไหน
2.ค้นหาแนววิถีกระสุนปืนลูกซองที่ใช้ยิงเสือดำ และค้นหาร่องรอยที่เป็นแนวและเชื่อมโยงไปหาจุดยิงได้
3.ค้นหากระดูกสะโพกขวา ขาหลัง ซึ่งเบื้องต้นสันนิษฐานว่า กลุ่มผู้ถูกกล่าวหาอาจกินเนื้อส่วนดังกล่าวหมดไปแล้ว และขว้างกระดูกทิ้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจค้นว่ากระดูกอยู่ที่จุดใด โดยเป็นไปได้ว่าอาจโยนลงน้ำห้วยที่อยู่ใกล้ๆกัน หรือขว้างไปอีกฝั่งของลำห้วย จึงได้จัดหาหน้ากากดำน้ำ Snorkel ดำลงไปใต้น้ำมองหาหลักฐานมาประกอบคดี และถือเป็นวัตถุพยานสำคัญชิ้นหนึ่ง
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้แยกย้ายกันหาและแบ่งงานกันทำเพื่อแข่งกับเวลา จนแต่ละทีมสามารถตรวจค้นได้ตามเป้าหมายดังนี้
เจ้าหน้าที่ชุดที่ 1 พบจุดที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ได้ติดตั้งกล้องดักถ่ายสัตวป่าตรงกับพิกัดที่แจ้งไว้ และที่สำคัญ ได้เปรียบเทียบลักษณะสิ่งแว้ดล้อมโดยทั่วในองค์ประกอบ เช่น ต้นไม้ที่ติดตั้ง ต้นไม้ที่อยู่ข้างเคียง จนครบองค์ประกอบทั้งสองมุมกล้อง จึงได้บันทึก และตรวจสอบพบว่า มีจุดห่างจากจุดชำแหละเสือดำจริง เพียงแค่ 100 เมตร
นอกจากนี้ ยังสามารถยืนยันข้อเปรียบเทียบสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า เสือดำตัวที่กล้องดักถ่ายภาพได้นั้น อาจเป็นตัวเดียวกัน เพราะจากข้อมูลงานวิจัย สามารถยืนยันได้ว่า เสือดำตัวผู้จะมีพื้นที่หากินประมาณ 40 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) โดยอาจบวกหรือลบได้ประมาณ 7 ตร.กม. และจะดูแลตัวเมีย 2-3 ตัว รวมทั้งมีอาณาเขต ปกครอง สัตวป่าหรือเสือดำตัวอื่นไม่สามารถเข้ามาได้
“ที่กล้องดักถ่าย ถ่ายภาพได้นั้นเป็นตัวผู้ ซึ่งอาจเป็นตัวเดียวกัน กับตัวที่ถูกยิงแล้วชำแหละ ในจุดที่ห่างเพียง 100 เมตร ซึ่งทางกองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจหา และจะรู้ว่าเป็นเพศใด เบื้องต้น ทีมงานหน่วยพญาเสือ ดูจากหนังที่ชำแหละ แล้วว่ามีโอกาสเป็นเสือตัวผู้ 90% ถ้าพิสูจน์ดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นตัวผู้ ก็ชี้ได้เลยว่า เป็นตัวเดียวกัน”
นอกจากนี้ในบันทึกสรุปผลปฏิบัติการของหน่วยพญาเสือ ยังตั้งข้อสังเกตว่า พรานที่มาล่าและตั้งใจนำปืน 3 กระบอก มีด 6 เล่ม แต่ละเล่มใช้แตกต่างกัน กรณีนี้พรานทั้ง 4 ต้องมีหนึ่งในนั้นรู้และเคยเข้ามาและเห็นเสือดำตัวนี้ ชอบเดินอยู่บริเวณนั้น จึงมีเจตนา เข้ามาล่า และตั้งแค้มป์ บริเวณนั้น ถือว่าจงใจ
เจ้าหน้าที่ชุดที่ 2 ค้นหาแนวกระสุน พบร่องรอยการฉีกขาดของเปลือกไม้ 2 จุด และที่หิน 1 จุด รวม 3 จุด ตรงตามแนว จุดสลัดปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่ตกอยู่บนถนน ตามที่เก็บเป็นหลักฐานไว้แล้ว
ขณะเดียวกัน พบจุดที่เสือดำถูกยิง โดยพบขนที่ขาดจากการกระแทกของแรงกระสุน ขนหลุดเป็นกระจุก ห่างจากจุดที่เชื่อว่า เสือนั่งอยู่เพียงเมตรเดียว และจุดที่ยืนยิงห่างประมาณ 14 เมตร
ส่วนกระสุนที่กระจายบานออก ไปกระทบกิ่งของเถาสะแกวัลย์ 1 เม็ด และมีอีก 1 เม็ดไปกระทบหิน เป็นมุมเดียวกัน
ขณะที่กระสุนปืนอีก 1 เม็ดมีมุมเฉียงองศาออกไป เหมือนคนที่ยิงวิ่งเฉียงออกไปทางด้านซ้ายไม่มาก ประมาณเดินออกไปทางซ้าย 6-7 ก้าว แล้ววิ่งไปยิงซ้ำ กระสุนเม็ดนี้ไปกระทบต้นไม้ที่ยืนต้นตาย เปลือกแข็ง มีรอยฉีกชัดเจน ส่วนเม็ดตะกั่วนั้นหาไม่พบ ต้องให้หน่วยกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแนวกระสุนอีกครั้ง
ข้อสังเกตจุดนี้ แสดงว่าเสือดำตัวนี้ต้องเชื่องมากและคุ้นกับคน จนไม่หลบหนี หรือเชื่อว่าคนไม่ทำร้ายมัน ในข้อสันนิษฐานเบื้องต้น เชื่อว่า เสือดำถูกยิงไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง และรูกระสุนที่สามารถเอาปลายหลอดแยงเข้าไปได้แสดงว่า น่าจะเป็นกระสุนคนละชนิด และอาจเป็นคนละคนที่เข้าไปยิงซ้ำ แต่เบื้องต้น พนักงานสอบสวนนำชิ้นเนื้อไปแสกนหาหัวกระสุนในชิ้นเนื้อว่าจะอยู่หรือไม่ หรืออาจจะทะลุลำตัวไป
คณะเจ้าหน้าที่ ยังค้นหาเลือดที่จุดเสือเสียชีวิตและสันนิษฐานจุดที่ชำแหละ โดยชุดที่เข้ามาล่า เมื่อยิงแล้ว มายิงซ้ำ และนำภาชนะเช่นผ้าใบ ผ้ายาง หรือผ้าขนาดที่ใส่ห่อหุ้มตัวเสือได้ นำมารองและช่วยกันยก โดยต้องใช้คนไม่น้อยกว่า 2 คน ซึ่งเสือตัวนี้ ในวันที่ 4 เจ้าหน้าวันเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ฯ ค้นเจอเครื่องในเสือดำ(ทราบภายหลัง) ที่ตรงจุดใกล้ๆกันนี้ เครื่องในเสือดำดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 17 ก.ก. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักตัวที่ประมาณ 1 ใน 3 ฉะนั้นจึงคาดว่าเสือดำตัวนี้น่าจะมีน้ำหนักประมาณ 45-50 ก.ก. ซึ่งต้องต้องใช้ 2 คน ช่วยกันยกมาชำแหละ เมื่อชำแหละแล้วนำเกลือปนมาคลุกเพื่อรักษาหนัง รักษาอายุของหนังให้คงทนขึ้นอีก ใช้เกลือจำนวน 2 ถุง แล้วนำเนื้อเสือดำทั้งหมดกลับไปที่พัก ส่วนเครื่องในทิ้งไว้ข้างจุดชำแหละดังกล่าว
ทั้งนี้ขั้นตอนต่อไป คณะเจ้าหน้าที่จะทำแผนที่และภาพประกอบ พร้อมทั้งภาพเคลื่อนที่ ทำบันทึกส่ง พนักงานสอบสวน เพื่อให้กองพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจแนววิถีกระสุน และค้นหาเม็ดกระสุนอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ชุดที่ 3 การค้นหาวัตถุพยานอื่นๆ ข้างเต็นท์พัก และที่สันนิษฐานว่า ขาขวาหลังซึ่งเป็นส่วนเนื้อสะโพกที่หายไป 1 ขา น่าจะถูกกินเนื้อไปแล้วนั้น กระดูกจะต้องทิ้งไว้หรือขว้างลงน้ำ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่งมหาวัตถุพยานทุกชนิดในน้ำ
โดยเจ้าหน้าที่ 3 นาย ได้ดำน้ำค้นหาประมาณ 20 นาที ก็พบชิ้นส่วนเป็นลำไส้ใหญ่ ชิ้นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ชนิดใด ต้องส่งไปพิสูจน์ต่อไป
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกนายพบกระดูกชิ้นสะโพกติดกับเชิงกราน เบื้องต้นเชื่อว่า เป็นกระดูกของเสือดำตัวดังกล่าว และใกล้กันเจ้าหน้าที่อีกคนพบกระดูกอีกชิ้นเป็นกระดูกขาที่ต่อกันได้ เป็นขาขวาสะโพกหลังพอดี และได้นำขึ้นมาจากน้ำ นำมาประกอบอีกครั้ง
ทั้งนี้มั่นใจว่า หลักฐานที่ได้มาเป็นหลักฐานสำคัญ เป็นหลักฐานใช้ประกอบ ในหลักวิทยาศาสตร์ ได้เป็นอย่างดี โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึกเป็นหนังสือ นำส่งมอบวัตถุพยานที่สำคัญให้กับพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เพื่อนำส่งเพื่อตรวจหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และเป็นพยานหลักฐานในคดีต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี