จ่อฟันบิ๊กตำรวจ ส่อแต่งสำนวนคดี‘หวย30ล้าน’
จากกรณีการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 หมายเลข 533726 มูลค่า 30 ล้านบาท ระหว่าง นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา อายุ 50 ปี ครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี กับ ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือลุงจรูญ อายุ 62 ปี อดีตข้าราชการตำรวจวัยเกษียณ ซึ่งเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ข่าวทางสื่อต่างๆว่ากองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) ได้เปิดเผยผลการสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ จนได้ข้อสรุปว่าลอตเตอรี่ น่าจะเป็นของ ร.ต.ท.จรูญ เนื่องจากมีพยานหลักฐานสนับสนุนจำนวนมาก รวมทั้งเตรียมดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องจำนวน 3 ราย เป็นพลเรือน 2 ราย และตำรวจ 1 ราย ขณะที่ล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี(ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี) เพื่อความโปร่งใสในการสืบสวนคลี่คลายคดี ตามที่เป็นข่าวนั้น
ความคืบหน้าผู้สื่อข่าวรายงานจาก บก.ป. ว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมหลักฐานเพื่อที่ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยพบว่าการทำงานตำรวจภูธรภาค 7 (บช.ภ.7) ไม่ได้มีความบกพร่อง แต่อ่อนประสบการณ์ในการเลือกหยิบหลักฐานมาใช้ในการพิจารณาชี้มูลความผิด นอกจากนี้ยังไม่ได้นำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชุดสืบสวน บก.ป.ส่งให้ มารวบรวมในสำนวน ทำให้สำนวนคดีไม่มีความรอบด้าน
นอกจากนี้ คำให้การของ ร.ต.ท.จรูญ ในเบื้องต้นก็มีข้อพิรุธ ไม่สามารถจำสถานที่ซื้อสลากฯ ได้ ขณะที่ นายปรีชา ให้การที่เป็นประโยชน์ มีจิตวิทยาดีในการตอบคำถาม จึงทำให้ชุดสืบสวน เชื่อว่า ร.ต.ท.จรูญ ไม่ใช่เจ้าของสลากฯ
ทั้งนี้ เมื่อ บช.ภ.7 ให้น้ำหนักไปที่ฝั่งนายปรีชา จึงทำให้ละเลยในการสืบสวนคดีที่ควรให้น้ำหนักไปยังการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหลักในการสืบสวนคดีอาญาทั่วไป ประกอบกับ ทนายความของ ร.ต.ท.จรูญ ขู่ว่าจะดำเนินคดีกับตำรวจ บช.ภ.7 ที่เกี่ยวข้องฐานทุจริต โดยเฉพาะ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ที่มีการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยคดี หลังจากที่นายปรีชา เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี จึงเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนทำสำนวนขาดน้ำหนักความน่าเชื่อถือ ขาดหลักฐานที่ควรจะมี เพื่อปกป้องตนเองจากความผิดพลาด
นอกจากนี้ ยังเลือกหยิบหลักฐานที่ได้ประโยชน์มาประกอบสำนวน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การทุจริต แต่ก็มุ่งสู่ข้อผิดพลาด จึงสรุปคดีคลาดเคลื่อน นำไปสู่ออกหมายเรียกให้ ร.ต.ท.ปรีชา มารับทราบข้อกล่าวหา จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้ ผบ.ตร.ตัดสินใจโอนคดีให้ บก.ป.ดำเนินการแทน
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ชุดสืบสวน บก.ป. ไม่พบว่าทีมสืบสวนสอบสวนตำรวจ บช.ภ.7 เข้าข่ายกระทำความผิดอาญา เพราะเป็นการทำงานตามขั้นตอนของกฎหมาย แม้จะมีข้อบกพร่องในการทำสำนวนก็ตาม ซึ่งชุดสืบสวน บก.ป.จะรายงานผลไปยัง บช.ก.เพื่อรายงาน ผบ.ตร.ตามขั้นตอน
ทั้งนี้ ยังพบด้วยว่านายตำรวจระดับสูงคนหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี อาจเข้าข่ายกระทำความผิดอาญา ถึงแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง แต่ก็มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะกับคู่ความ รวมทั้งมีการล้วงลูกการทำงานของพนักงานสอบสวนด้วยการแก้ไขปรับแต่งสำนวนการสอบสวนให้ดูน่าเชื่อถือ ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งชุดสืบสวนสอบสวน บก.ป.กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อรายงานไปยัง บช.ก.พิจารณาว่าจะดำเนินคดีพร้อมกับผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนที่กำลังจะถูกออกหมายจับ 2 คน หรือไม่ โดยมีรายงานว่าจะขออำนาจศาลออกหมายจับให้ทันวันที่ 28 ก.พ.นี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี