วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนยำใหญ่เรื่อง“ยาง” และเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องมีพัฒนาการที่ขอรายงานต่อสักเล็กน้อย
เรื่องแรก “ราคายาง” ตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันจันทร์ต้นสัปดาห์นี้ พบราคาขยับขึ้นน่าดีใจ เช่น ในท้องถิ่น ราคายางแผ่นดิบวันจันทร์สัปดาห์ก่อนอยู่ที่กก.ละ 42.60 บาท พอจันทร์นี้ขึ้นเป็น 44.30 บาท ส่วนน้ำยางสดจันทร์ก่อนอยู่ที่ 41.50 บาทมาจันทร์นี้ขึ้นมาถึง 47.00 บาท ขณะที่ราคา ประมูล ยางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ณ ตลาดกลางสงขลา จันทร์ที่แล้ว 46 บาท มาจันทร์นี้ขยับขึ้นเป็น 48.89 บาท เป็นต้น...
ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากสภาพตลาดที่ดีขึ้น อีกส่วนก็ต้องให้กำลังใจรัฐโดยกระทรวงเกษตรฯที่มีเจ้ากระทรวง “กฤษฎา บุญราช”ดำเนินมาตรการต่างๆในการยกระดับราคาอย่างแข็งขัน แต่ราคายาง ณ ขณะนี้ยังห่างเป้าที่กก.ละ 65 บาท อยู่ไม่น้อย
จึงยังต้องเร่งมือทำงานหนักกันต่อไป
อีกเรื่องคือ การทำงานของการยางแห่งประเทศไทย หรือ กยท.ที่ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าตาของรมว.กฤษฎาซะเลย ก่อนหน้านี้ผมรายงานไปแล้วว่า ในการไปประชุมร่วมกับกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางภาคต่างๆท่านกฤษฎาได้รับฟังเสียงร้องเรียนจากชาวสวนยางทุกภาค ตำหนิการทำงานของกยท. จนถึงขนาดที่ท่านออกปากในที่ประชุมว่า ไม่เห็นมีภาคไหนที่ชื่นชมการทำงานของ กยท.เลย
ล่าสุด สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในการลงไปประชุมกับชาวสวนยางภาคใต้ซึ่งเป็นภาคที่ปลูกยางมากที่สุด แต่ผู้บริหารระดับสูงของ กยท.กลับ “โดดร่ม” ไม่ไป ไม่ให้ความสำคัญ อ้างติดภารกิจ ทำให้รมว.กฤษฎาถึงกับหงุดหงิด ส่งข้อความผ่านไลน์ถึงผู้บริหารในกระทรวง ข้อความตอนหนึ่งว่า“โดยเฉพาะท่าทีของกยท.ที่เบอร์ 1, 2 ขาดประชุม ทั้งๆ ที่ภาคใต้เป็นพื้นที่หลักของยุทธศาสตร์ยางพารา อาจจะบ่งบอกได้ว่า กระทรวงเกษตรฯจะเผชิญความหนักใจ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหายาง”
น้ำเสียงเป็นเชิงตำหนิแบบนี้ผู้บริหาร กยท.จะรู้สึกรู้สาบ้างหรือไม่ รอดูกันต่อไป....
เรื่อง“ยาง”เก็บตกแค่นี้ก่อน เพราะมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากเขียนถึงด้วยความเป็นห่วงยิ่ง นั่นคือปัญหาทุจริตด้วยรูปแบบที่เรียกกันว่า“เงินทอน” ซึ่งเป็นการโกงกันอย่างดื้อๆ ที่ดูเหมือนจะถูกตรวจพบถี่มากช่วงนี้ หลังจากถูก“หมกเม็ด”ฝั่งซ่อนความเลวร้ายจนกลายเป็น“วัฒนธรรมชั่ว”ที่มีมาเนิ่นนาน
จาก“คดีเงินทอนวัด”ที่ระดับบิ๊กๆสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หลายคนตกเป็นผู้ต้องหาถูกพักงาน ถูกดำเนินคดีเพราะพฤติกรรมรวมกันเป็นขบวนการโกงกินเงินอุดหนุนที่ให้กับวัดต่างๆทั่วประเทศมายาวนาน จนถึงล่าสุดคดี“โกงเงินสงเคราะห์คนยากไร้”ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ซึ่งตรวจพบแห่งแรกที่ขอนแก่น เพราะนักศึกษาฝึกงานที่ถูกบังคับให้ปลอมลายเซ็นรับเงิน “ทนไม่ได้กับความเลวร้ายนี้” จึงได้ร้องเรียนหน่วยงานต่างๆรวมทั้ง คสช. จนเข้ามาสอบพบมูลทุจริตจริงและขยายผลตรวจสอบทั่วประเทศ พบทุจริตแบบเดียวกันนี้อีกหลายจังหวัดทั่วทุกภาค กระทั่งนายกรัฐมนตรีต้องสั่งย้ายปลัดและรองปลัดกระทรวงที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำกันเป็น“ขบวนการ”
คดีเงินทอนวัด ชั่วช้าเลวทรามขนาดตกนรกหมกไหม้ได้เพราะโกงแม้กระทั่งพระพุทธศาสนา “คดีโกงคนยากไร้”ก็ชั่วช้าไร้ศีลธรรม โกงได้ลงคอเงินที่ไว้ช่วยเหลือคนยากไร้ที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นการซ้ำเติมคนจน ซ้ำเติมสังคมและซ้ำเติมปัญหาความยากจนเรื่องใหญ่ของประเทศชาติ
เหล่านี้ไม่เพียงชั่วร้ายเลวทราม ยังสะท้อนถึงการขาด “จิตสำนึก” ความเป็น “ข้าราชการ” ที่สมควรจะทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่อีกด้านก็สะท้อนถึงกลไกในการตรวจสอบของระบบราชการที่ยัง“บกพร่อง”เป็นอย่างมาก
การโกงกินแบบ“เงินทอน”ลักษณะร่วมที่สำคัญคือ เป็น “เงินช่วยเหลือให้เปล่า” ที่หน่วยงานรัฐได้รับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินมาดำเนินการ โดยส่วนใหญ่เป็นไปตามนโยบายรัฐ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนา หรือกระทรวงการพัฒนาสังคมฯเท่านั้น หลายๆ กระทรวงก็มีงบนี้อยู่มหาศาลรวมถึงกระทรวงเกษตรฯด้วย ที่มี “งบฯให้เปล่า”ตามนโยบายรัฐมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงบฯช่วยเหลือเกษตรกร ตลอดจนงบฯให้เปล่าจูงใจงดทำนา,งดกรีดยาง หรืองดการผลิตอื่นๆ เป็นต้น
งบฯเหล่านี้ มีช่องโหว่ช่องว่างให้ทุจริตได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าทำกันเป็นขบวนการก็ยิ่งง่ายใหญ่ ผมก็ไม่รู้ในกระทรวงเกษตรฯจะมีเรื่องโกงทำนองนี้“หมกซ่อน”อยู่หรือไม่ แต่ใครที่มีอำนาจหน้าที่ หวังว่าจะเข้มงวดกวดขันเต็มที่.....อย่าให้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี