"กฤษฎา"เซ็ตซีโร่งานเกษตรฯ สั่งยกเครื่องครั้งใหญ่แก้งานไม่เดิน ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินม.20,ม.54 หั่นโครงสร้างกระทรวงเกษตรฯ14กรม ที่มีสำนักงานและพื้นที่ดำเนินการทั่วประเทศ มาอยู่ภายใต้ผู้ว่าฯทุกจังหวัดและหรือนายอำเภอ เน้นเนื้องานนโยบายรัฐบาลลงสู่พื้นที่อย่างยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพเกษตรกรจับต้องได้จริง
22 เม.ย.61 นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้พิจารณาแก้ไขการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยใช้อำนาจตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมาตรา 20 และมาตรา 54 เพื่อกำหนดให้บุคลากรของกระทรวงเกษตรฯ ทุกหน่วยงานที่มีสำนักงานและพื้นที่ดำเนินงานอยู่ในจังหวัดต่างๆ ให้มาบูรณาการร่วมทำงานด้วยกันเพื่อความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การอำนวยการของผู้ว่าราชการจังหวัดและหรือ นายอำเภอซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการภูมิภาคผ่านกลไกคณะอนุกรรมการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ที่มีสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเป็นเลขานุการและมอบหมายให้สำนักงานเกษตรจังหวัดและอำเภอ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับหน่วยงานกระทรวงเกษตรฯ อื่นๆ ที่ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการภูมิภาค แต่มีพื้นที่ดำเนินงานอยู่ในพื้นที่ เช่น โครงการชลประทาน สถานีพัฒนาที่ดิน ศูนย์วิจัยพืชสวน ฯลฯ มาบูรณาการร่วมกันทำงานในพื้นที่อำเภอและจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับงานตามนโยบายหรือโครงการสำคัญของรัฐบาล หรือกระทรวงเกษตรฯ (Agenda) รวมทั้งงานการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรในพื้นที่ด้วย (Area Based) ส่วนการบังคับบัญชา การบริหารงานบุคคลและงบประมาณนั้น ยังคงอยู่ในบังคับบัญชาของกรมต้นสังกัดเช่นเดิมรายละเอียดตามคำสั่ง กษ.ที่ 341/2561 ลว. 20 เม.ย.61 เรื่อง มอบหมายการปฎิบัติราชการของบุคลากรสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดเพื่อสนองนโยบายการบูรณาการงานภาคการเกษตรของจังหวัดอย่างยั่งยืน
"ได้ส่งไลน์ รมว.กษ.สั่งการถึงผู้บริหาร กษ.และข้าราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาคและทุกจังหวัด ในเรื่องการบูรณาการ 14 หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯระดับพื้นที่เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตามนโยบายปฎิรูปโครงสร้างภาคเกษตร ในการปฏิบัติงานเพื่อประชาชน เนื่องจาก กษ.มีปัญหาการจัดโครงสร้างของ กษ.มีบางกรมไม่ได้มีหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคทั้งๆ ที่มีภารกิจด้านการพัฒนาการเกษตรและบริการเกษตรกรในพื้นที่ ประกอบกับในปี 2545 รัฐบาลขณะนั้นได้แก้ไขกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ทำให้หน่วยงานราชการภูมิภาคของ กษ.ในพื้นที่ซึ่งทำหน้าที่พัฒนาและแก้ไขปัญหารวมทั้งงานบริการประชาชนด้านการเกษตรที่มีความสำคัญในพื้นที่ต้องถูกยุบเลิกไปด้วย หรือมีการตั้งสำนักงานในอำเภอบางแห่งแล้วให้ข้าราชการหมุนเวียนไปตามอำเภอต่างๆ โดยไม่มีสำนักงานประจำอำเภอหรือจังหวัด เช่น สำนักงานสหกรณ์อำเภอ สำนักงานปศุสัตว์อำเภอ สำนักงานประมงอำเภอ" นายกฤษฎา กล่าว
รมว.เกษตรฯ กล่าวว่าได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่และขาดความต่อเนื่อง เช่นมาตรการแก้ไขทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) ที่มีสาเหตุจากการไม่มีหน่วยงานกำกับติดตามในพื้นที่ต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าระบาดที่ให้บริการไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทำให้ปัญหายืดเยื้อสร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ในส่วนหน่วยงานที่ยังไม่มีหน่วยบริการในพื้นที่ หรือมีแต่ไม่ครบทุกพื้นที่จังหวัด เช่น การรับรองมาตรฐานเกษตรปลอดภัย (GAP) เกษตรอินทรีย์ (Organic) การรับจดทะเบียนพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ เป็นงานฝากไว้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด อำเภอรับเรื่องจากประชาชน ส่งส่วนกลาง มากรมเจ้าของเรื่องรับพิจารณา ซี่งเป็นเรื่องที่ใช้เวลากว่าเรื่องจะหมุนเวียนกลับไปพื้นที่ ทำให้งานเกษตรล่าช้า ไม่สามารถบริการได้ทันตามความต้องการของเกษตรกร
"ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายการพัฒนาเพื่อกระจายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ส่วนภูมิภาค โดยให้จังหวัดและหน่วยราชการต่างๆในพื้นที่จัดทำแผนงานและงบประมาณให้ตอบสนองกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของพื้นที่ รวมทั้งเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนภาคที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและประการสำคัญเพื่อให้งานของ กษ.สามารถดำเนินการได้ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านการพัฒนาการเกษตรและแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย" นายกฤษฏา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี