“ขุนเกษตรา”...รายงานตัว นำเรื่องราวภายใต้ชายคาพระพิรุณมาเล่าสู่กันฟังเหมือนเดิม ...นับตั้งแต่กระทรวงเกษตรฯได้บังคับใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ.2560 มา 7 เดือน นับจากวันที่ 23 กันยายน 2560 ปรากฏว่ามีผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรจดแจ้งเข้าสู่ระบบเกษตรพันธสัญญาเพิ่มขึ้นเป็น 159 รายจากเดิม 90 ราย ครอบคลุมธุรกิจด้านทางการเกษตรทุกประเภท แบ่งเป็นด้านพืช 103 ราย ด้านปศุสัตว์ 34 ราย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 11 ราย ด้านพืชและปศุสัตว์ 2 ราย และยังมีอีก 9 รายอยู่ในขั้นตอนการจดแจ้ง ซึ่งแต่ละรายส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจด้านการเกษตรมายาวนาน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มความเจริญก้าวหน้าในอุตสาหกรรมเกษตรไทยที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืน และกระทรวงเกษตรฯก็มั่นใจว่าอานิสงส์ของกฎหมายฉบับนี้จะช่วยหนุนอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้ก้าวกระโดด และเตรียมประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจในรอบ 1 ปี พร้อมกับเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อต้อน “ล้ง” เข้าสู่ระบบ ป้องกันกระทบต่อเศรษฐกิจการส่งออกสินค้าเกษตรไทยอนาคต
นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงเกษตรฯ ระบุว่า ได้เร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายเกษตรพันธสัญญาไปยังผู้ประกอบการรวบรวมผลไม้ หรือ ล้ง เพื่อให้พิจารณาธุรกิจของตนเองว่า เข้าข่ายการทำสัญญาระบบเกษตรสัญญาหรือไม่ ถ้าหากเข้าข่าย ก็ต้องมาแจ้งการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา กับสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรฯ หรือสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดทันที ซึ่งปัจจุบันได้รับร้องเรียน 2 กรณีหลัก คือ สัญญาที่ล้งทำกับเกษตรกรมีการเอาเปรียบ และไม่มีการกำหนดสเปกคุณภาพของผลผลิตที่ชัดเจน ทำให้กระบวนการซื้อขายไม่เป็นไปตามกลไกตลาด กระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทย จึงต้องผลักดันให้ล้งเข้ามาสู่ระบบเกษตรพันธสัญญา เพื่อจะได้ควบคุมล้งเข้าสู่กระบวนการที่มีคุณภาพ และป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบ
ขุนเกษตรา ทราบว่า ในรอบ 7 เดือนที่กฎหมายได้ประกาศใช้ กระทรวงเกษตรฯได้ใช้อำนาจกฎหมายในการไกล่เกลี่ยปัญหาระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการประสบความสำเร็จหลายกรณี พร้อมทั้งจะเข้มงวดในการตรวจสอบการทำสัญญาใหม่ระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบการ และขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ยังอยู่ระหว่างประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำธุรกิจเกษตรพันธสัญญาอีกด้วย...
ก่อนจากกันสัปดาห์นี้ ขุนเกษตรา ฝากข่าวแจ้งเตือนภัยชาวสวนยางพารา โดยนายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย แจ้งข่าวว่า ได้รับรายงานจากสภาวิจัยและพัฒนายางระหว่างประเทศ (IRRDB) ว่ามีโรคระบาดในยางพาราที่ประเทศอินโดนีเซีย สาเหตุจากเชื้อ Fusicoccum sp. ซึ่งลักษณะอาการของโรคนี้คือ เกิดรอยแผลไหม้ลักษณะกลมที่ใบ อาจพบได้หลายวง ช่วงแรกเป็นลักษณะรอยช้ำ ต่อมารอยแผลเปลี่ยนเป็นซีดขาว หากรุนแรงใบจะร่วง ซึ่งรอยแผลของโรคนี้ไม่พบลักษณะเนื้อเยื่อสีเหลือง (yellow hallow) บริเวณรอบรอยแผลซึ่งจะแตกต่างจากโรคใบจุดก้างปลา และมีรายงานว่าโรคนี้ทำให้ใบยางพาราร่วงได้มากถึงร้อยละ 50 ของเรือนพุ่ม อาจส่งผลให้ผลผลิตลดลงถึงร้อยละ 30 โดยเชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ เช่น ฝนตกชุกติดต่อกันหลายวันจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการระบาดของโรคนี้ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในยางพารา หรือมีน้อยมากจนไม่เป็นที่สังเกต ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทย กำลังติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด หากเกษตรกรพบเห็นต้นยางพารามีลักษณะดังกล่าว ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ การยางแห่งประเทศไทยในพื้นที่เพื่อเข้าไปตรวจสอบ และหาแนวทางแก้ไขได้ทันท่วงที...
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี