23 พ.ค.61 นายอุทัย นพคุณวงศ์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร นำคณะผู้บริหารและนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่เพื่อพบปะเกษตรกรชาวสวนทุเรียน พร้อมกับติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อโรคราสีชมพู และรากเน่าโคนเน่า ในต้นทุเรียนโดยได้ลพื้นที่สวนทุเรียนของนายสิทธิชัย อินทร์พรหม และสวนนายชัยณรงค์ ทองสุข เกษตรกรชาวสวนทุเรียน ตำบลตลิ่งงาม อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อหาแนวทางแก้ไขและป้องกันกำจัดโรครากเน่าโคนเน่าในทุเรียนตลอดจนปัญหาศัตรูพืชอื่นๆของทุเรียนบนพื้นที่เกาะสมุย
ทั้งนี้สืบเนื่องจากที่ผ่านมาระหว่างเดือนธันวาคม 2559 ถึงเดือนมกราคม 2560 พื้นที่เกาะสมุยมีฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ความชื่นในอากาศและในดินสูง จากสภาพอากาศดังกล่าวได้ส่งผลกระทบกับต้นต้นทุเรียนอย่างมาก เนื่องจากสภาพอากาศเหมาะแก่การเกิดโรคที่ทำให้ต้นทุเรียนชลอการเจริญเติบโต ส่งผลทำให้ต้นทุเรียนจำนวนมากยืนต้นตาย โดยพบว่าสาเหตุที่ทำให้ต้นทุเรียนบนเกาะสมุยตายเป็นจำนวนมากเกิดจากโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรครากเน่า โคนเน่า และโรคราสีชมพู
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าพื้นที่การปลูกทุเรียนของเกษตรกรได้ผลกระทบจากโรคดังกล่าวสูงถึง 5,000 ไร่ โดยมีเกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้แจ้งความเสียหายไว้ประมาณ 2,500 ไร่ ซึ่งที่ผ่านมาหลังจกาที่โรครากเน่า โคนเน่า และโรคราสีชมพูระบาด เกษตรกรชาวสวนทุเรียนได้แก้ปัญหาด้วยตนเองด้วยการซื้อยาเคมีมาฉีดพ่นเพื่อกำจัดโรค พร้อมกับตัดแต่งกิ่งทะเรียนที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโรคดังกล่าวทิ้ง และบางส่วนได้ตัดโค้นต้นทุเรียนที่ยืนต้นตายจากการถูกเชื้อโรคดังกล่าวเข้าทำลาย นอกจากนี้เกษตรกรได้ใช้ความพยายามที่จะกู้สภาพต้นทุเรียนให้กลับมามีสภาพปกติจาการติดเชื้อโรคราสีชมพู ด้วยการใช้ดีดาถกเปลือกต้นทุเรียนที่มีการแพร่ระบาดออกแล้วทายาซื้อเชื้อโรคดังกล่าวในเบื้อต้น แต่ก็ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่อื่น
หลังจากที่ลงพื้นที่ดูความเสียหายจากการแพร่ระบาดของโรครากเน่า โคนเน่า และโรคเชื้อราสีชมพู นายอุทัย นพคุณวงศ์ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า จากการลงพื้นี่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดชุมพร และที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีเกษตรกรปลูกทุเรียนจำนวนมาก โดบพบว่า บางแห่งได้รับผลกระทบจากโรครากเน่า โคนเน่า หรือเชื้อไฟทอปเธอร์ร่า สร้างความเสียหายต่อพื้นที่การปลูกกว่าห้าสิบ ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ จึงได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเบื้องต้น ด้วยการแนะนำเกษตรชาวสวนทุเรียนในการดูแลและรักษาต่้นทุเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโรคดังกล่าว
สำหรับพื้นที่เกาะสมุยพบว่าเกิดความเสียหายกับเกษตรกรที่ปลูกทุเรียน โดยพบว่าความเสียหายที่มีต่อต้นทุเรียนของเกษตรกรบางแปลงที่เชื้อโรคเข้าทำลายจนต้นทุเรียนเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงได้เข้าช่วยเหลือเกษตรกรกรมวิชาการเกษตรเตรียมมอบพันธุ์ทุเรียนหมอนทองจากศูนย์วิจัยพืชสวนจังหวัดจันทบุรีได้คัดเอาไว้ เพื่อให้เกษตรกรนำมาปลูกเพื่อขยายพันธุ์เป็นการแก้ปัญหาในเบื้องต้น แต่ในระยะยาวแล้วเกษตรกรชาวสวนทุเรียนที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรครากเน่า โครเน่า และโรคเชื้อราสีชมพู ควรที่จะทำการปลูกขึ้นมาใหม่ ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะได้มีการติดตามการแก้ปัญหานี้กับเกษตรกรอย่างใกล้ชิด
ทางด้านนายสิทธิชัย อินทร์พรหม เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน กล่าวว่า อยากให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนทุเรียนบนเกาะสมุย เพราะเกษตรกรบางรายต้นทุเรียนเสียหาย 100 เปอร์เซ็นต์ บางราย50 เปอร์เซ็นต์ อยากให้รัฐสนับสนุนทุนสำรองเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนมีทุนในการแก้ปัญหาได้ เพราะเกษตรกรหลายคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวลูกที่กำลังส่งเรียนก็ได้รับผลกระทบ เพราะขาดรายได้จากสวนทุเรียน เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรได้แจ้งปัญหานี้กับหน่วยงานในพื้นที่แต่การแก้ปัญหายังได้รับไม่เต็มที่ จึงทำให้การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโดรครากเน่า โคนเน่า และโรคเชื้อราสีชมพู ไม่สามารถหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ สำหรับพื้นที่การปลูกทุเรียนบรเกาะสมุยมีกว่า 10.000ไร่ และมีพื้นที่เสียหายจากการแพร่ระบาดกว่า 4,000ไร่ ซึ่งเมื่อคิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อปีกว่า 500 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี