1 มิ.ย.61 พ.ต.ท.กฤตธัช อ่วมสน ผู้แทนกองต่อต้านการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวในเวทีเสวนา “จับเข่าคุย ล่อซื้อ 10 ปี แก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์หรือยัง?” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แยกปทุมวัน ถึงข้อเรียกร้องของเครือข่ายพนักงานบริการ ขอให้ยุติการใช้วิธีล่อซื้อผู้ค้าบริการทางเพศเพื่อนำไปสู่การจับกุมขบวนการค้ามนุษย์เพราะสร้างผลกระทบกับผู้ที่ไม่ใช่เหยื่อค้ามนุษย์ว่า โดยส่วนตัวเข้าใจเรื่องนี้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐเมื่อได้รับแจ้งมาจะไม่ดำเนินการก็ไม่ได้เพราะอาจถูกมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งการค้ามนุษย์ในส่วนของการค้าประเวณีนั้นหากเป็นคนไทยส่วนใหญ่จะอายุเกิน 18 ปี แต่หากเป็นคนต่างชาติมักจะอายุไม่ถึง 18 ปี มีทั้งที่สมัครใจมาเพราะต้องการหารายได้เลี้ยงครอบครัว และถูกล่อลวงมา เช่น บอกว่าจะพามาทำงานนวดเฉยๆ แต่เมื่อมาถึงกลับถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ อย่างไรก็ตามปัญหาจะยุ่งยากขึ้นหากการเข้ามาในไทยของเด็กสาวต่างชาติมีนายหน้าไปพามาโดยจ่ายเงินให้พ่อแม่ของเด็กเฉลี่ยหลักแสนบาทต่อคน เด็กจึงเข้าประเทศไทยมาพร้อมกับความเป็นหนี้ นอกจากนี้ยังมีการปลอมเอกสารระบุตัวตน เช่น หนังสือเดินทาง
พ.ต.ท.กฤตธัช อ่วมสน
“บางคนไม่อยากค้าประเวณี แต่มาแล้วเป็นหนี้มันก็ต้องใช้หนี้ คนที่ 18 ปีแล้วก็มี ก็ตกภาวะจำยอมต้องขายบริการ สมมติราคา 3,200 บาท รู้ไหมได้เท่าไหร่ ผมสงสารนะ ได้ 1,600 บาท แต่ก็บางคนก็โดนเอเยนต์หักไปอีก ถูกหักค่าแต่งหน้าทำผมอีก เหลือไม่กี่สตางค์หรอกครับ หรือถึงใช้หนี้หมด ทำงานก็ยังถูกเอเยนต์หักอีกรอบละ 100-200 บาท เจ้าของสถานบริการทำไมต้องการเด็กต่ำกว่า 18 ก็คนที่ไปเที่ยวบางคนอยากได้เด็กต่ำกว่า 18 ก็ไม่รู้ว่าทำไม ซึ่งตัวเขา (เจ้าของสถานบริการ) ได้ประโยชน์เยอะมากจากการเอาเด็กมาขายบริการ” พ.ต.ท.กฤตธัช ระบุ
พ.ต.ท.กฤตธัช กล่าวต่อไปว่า ชีวิตของเด็กสาวที่ถูกบังคับค้าประเวณีก็น่าสงสารอยู่แล้ว ถูกหักค่าตรวจโรค ค่าแต่งหน้าทำผมสารพัด ทำงานวันหนึ่งก็ต้องขึ้นกับผู้ชายให้ได้ 3-5 รอบ ก็มีทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ เพราะแขกบางคนก็ชอบใช้ความรุนแรง พอเด็กไปฟ้องเจ้าของสถานบริการบางคนก็โดนด่ากลับมาว่าทำไมแค่นี้ทนไม่ได้ สภาพจิตใจเขามีปัญหา ก็เลยไปร้องเรียนองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) แล้วก็มาให้ DSI ไปดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ในหมู่ NGO เองก็มีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ซึ่งทำงานด้านสิทธิพนักงานบริการเห็นว่าการล่อซื้อเป็นการละเมิดสิทธิ แต่ NGO บางกลุ่มก็จะบอกว่าจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเพราะเห็นคนตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ถูกบังคับใช้แรงงาน นอกจากนี้สำหรับข้อเรียกร้องของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ที่ต้องการให้ยุติการกำหนดว่าโสเภณีเป็นอาชีพผิดกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การได้สิทธิคุ้มครองแรงงานเช่นเดียวกับแรงงานในภาคส่วนอื่นๆ นั้นตนก็เห็นด้วย แต่ก็ต้องคิดกันต่อไปว่าจะมีมาตรการช่วยปิดบังตัวตนของคนที่ทำอาชีพดังกล่าวอย่างไร
“การยกเลิก พ.ร.บ.ห้ามค้าประเวณี (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539) อาจเป็นปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นปัญหาระหว่างประเทศอยู่ทุกวันนี้ ผมว่าแก้กฎหมายข้อเดียว ผู้หญิงจะค้าประเวณีได้ต้องอายุ 18 ปีขึ้นไป สมัครใจจดทะเบียน แล้วถ้าใครอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ต้องจับผู้หญิงติดคุก เอาผู้ชายที่ชอบไปเที่ยวกับเด็กติดคุกเสียบ้าง ผู้หญิงที่เป็นพยานก็ไม่ต้องเอาไปกักกันไว้ ช่วยกันแก้ตรงนี้มันจะแก้ปัญหาได้เลย” พ.ต.ท.กฤตธัช กล่าว
ขณะที่ น.ส.ทันตา เลาวิลาวัณยกุล ผู้ประสานงานมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ กล่าวว่า ในขณะที่งบประมาณป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เพิ่มขึ้นทุกปี จาก 9 ล้านบาทในปี 2551 หรือปีแรกที่มี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เป็น 3 พันล้านบาทในปัจจุบัน แต่ประเทศไทยกลับได้คะแนนต่ำลงในการจัดอันดับของต่างชาติในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการล่อซื้อที่ทำโดย NGO ต่างชาติร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
อีกทั้งยังเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ที่กำหนดหลักเกณฑ์การได้มาโดยชอบของหลักฐาน และเป็นการผิดต่อจรรยาบรรณของ NGO เองด้วยที่ต้องเคารพศักดิ์ศรีของผู้สมัครใจขายบริการ ซึ่งแต่ละปีจะมีพนักงานบริการถูกจับกุมในประเทศไทย 300 คน แต่ปัญหาคือเพื่อให้ได้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เจ้าหน้าที่มักจับกุมแบบกวาดไปหมด เช่น จับกุมได้ 100 คน อาจมีเหยื่อค้ามนุษย์จริงๆ เพียง 10 คน แต่คนที่เหลือก็ได้รับผลกระทบไปด้วยทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ถูกกักตัวไว้ไม่ได้ติดต่อกับญาติ
ทันตา เลาวิลาวัณยกุล
น.ส.ทันตา ยกตัวอย่างการจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่ทำได้อย่างเหมาะสม คือกรณีการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ที่สถานบริการแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีมาขายบริการทางเพศ เมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นเรื่องจริงก็เข้าไปจับกุมเจ้าของร้านพร้อมพาตัวเด็กออกมา ส่วนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็ให้กลับบ้านไป และมีการดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว แต่หนทางที่ดีที่สุดคือยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เพื่อให้พนักงานบริการจัดเป็นแรงงานประเภทหนึ่ง สามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้
“สังคมมองว่าเราผิดศีลธรรม แต่การผิดศีลธรรมบางอย่างไม่จำเป็นต้องผิดกฎหมายอาญาไม่ใช่หรือ อย่างลูกโกหกแม่ผิดศีลธรรมแต่ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายอาญา ถึงเราจะผิดเราก็ยังเป็นมนุษย์ เราต้องการเป็นแรงงาน ได้รับสวัสดิการคุ้มครอง เราต้องการความยุติธรรมในงานที่เรามี ไม่ต้องการให้ใครมาหาผลประโยชน์ การเข้าสู่กฎหมายแรงงานสามารถแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ได้ พนักงานบริการมีอำนาจมีปากเสียงขึ้น สามารถเดินไปบอก DSI ว่ามันมีแบบนี้ที่ไม่ถูกต้อง แต่วันนี้ถ้าเราเดินไปบอกเราถูกจับไปด้วย” น.ส.ทันตา กล่าว
ด้าน น.ส.นัยนา สุภาพึ่ง อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่มาร่วมฟังเสวนาครั้งนี้ด้วย กล่าวเสริมว่า ในประเทศเยอรมนีซึ่งการค้าประเวณีเป็นอาชีพถูกกฎหมาย จะมีความผิดต่อเมื่อเข้าข่ายแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเท่านั้น เมื่อเร็วๆ นี้ที่ตำรวจเยอรมันบุกทลายสถานค้าประเวณีที่ผิดกฎหมายทั่วประเทศจนเป็นข่าวดัง ปฏิบัติการดังกล่าวประสบความสำเร็จเพราะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพนักงานบริการ อีกทั้งก่อนเข้าจับกุมยังเตรียมประสานล่ามภาษาไทยไว้ล่วงหน้าสำหรับช่วยเหลือในมาตรการคุ้มครองพยานอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี