ถึงเวลาที่ “ขุนเกษตรา” ต้องมารายงานตัวเล่าข่าวที่เกิดขึ้นในชายคาพระพิรุณ กระทรวงเกษตรฯ กันอีกเช่นเคยครับ...สัปดาห์ที่ผ่านมา ใต้ร่มชายคาพระพิรุณมีทั้งเรื่องร้อนๆ ข่าวทุจริตโครงการไทยนิยม ยั่งยืน แถมยังเจอม็อบคนต่อต้านสารเคมีมาปักหลักนอนประท้วงกันถึงหน้ากระทรวงอีก คงทำให้เจ้ากระทรวงปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ไม่น้อย... ซึ่งกรณีของโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้น เนื่องจากมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตรของสหกรณ์การเกษตร ว่ามีราคาสูงกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เป็นเครื่องมือชนิดเดียวกัน ขายอยู่จังหวัดเดียวกันแต่ทำไมราคาต่างกันมาก ส่งผลให้ นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ต้องสั่งการด่วนที่สุดให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จภายใน 15 วัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไม่รอช้าเช่นกัน รีบชี้แจงต่อ รมว.เกษตรฯและสื่อมวลชนเกี่ยวกับราคาของรถยก (โฟล์คลิฟต์) โครงการรวบรวมและแปรรูปยางพาราในโครงการไทยนิยมยั่งยืนว่า โครงการนี้ได้เสนอขอตั้งงบประมาณจัดหารถโฟล์คลิฟต์ 41 คัน ให้สหกรณ์ 37 แห่ง วงเงิน 34.63 ล้านบาท ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์จะให้สหกรณ์เสนอรายการ และคุณลักษณะของรถ พร้อมนำใบเสนอราคาจากผู้ประกอบการในตลาดมาเสนอไม่น้อยกว่า 3 แห่ง สำหรับกรณีที่รถโฟล์คลิฟต์ขนาดเดียวกันแต่ราคาแตกต่างกัน เนื่องจากราคาจะขึ้นอยู่กับคุณลักษณะเฉพาะของรถที่กำหนดในคำขอของสหกรณ์ เช่น ยี่ห้อ เครื่องยนต์ ความสามารถในการยกสูงที่แตกต่างกัน ทำให้ราคาแตกต่างกัน ซึ่งกรมจะจัดสรรโดยอ้างอิงจากราคาที่เคยได้รับอนุมัติในปีก่อนๆ เทียบเคียงกับราคาตลาด หากไม่สูงเกินไปกว่าราคาอ้างอิง กรมจะจัดสรรให้ตามที่สหกรณ์ขอมา
ส่วนประเด็นสงสัยที่ว่า รถขนาดเดียวกัน คนขายเจ้าเดียวกัน และขายในจังหวัดเดียวกัน ทำไมราคาต่างกัน กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของสหกรณ์ทุกจังหวัดแล้ว พบว่าถ้าเป็นรถขนาดเดียวกัน คุณลักษณะการใช้งานเหมือนกัน ไม่พบว่ามีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น และจากผลการจัดซื้อจัดจ้างที่เกิดขึ้นจริง พบว่า มีผู้เสนอราคาต่ำกว่าราคาที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน 28 คัน (จาก 41 คัน) เป็นเงิน 1.85 ล้านบาท ส่วนประเด็นจะมีคนเดินไปเก็บเงินทอนหรือไม่ ในการดำเนินการดังกล่าว สหกรณ์ต่างๆ ที่ได้รับเงินอุดหนุน จะดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยอำนาจของคณะกรรมการดำเนินการของสหกรณ์ ราชการจะไม่เข้าไปแทรกแซง แต่จะคอยตรวจสอบ กำกับ ติดตามให้สหกรณ์ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและเกิดความโปร่งใส พร้อมยืนยันว่าไม่มีพฤติกรรมดังที่กล่าวอ้างนี้แน่นอน...ผู้เกี่ยวข้องได้ออกมาชี้แจงแล้ว คงคลายความกังวลในประเด็นที่สังคมสงสัยกันนะครับ…
ฟากฝั่งพญาไท แม้ไม่ใช่เรื่องทุจริต แต่เมื่อมีกระแสข่าวที่สังคมสงสัยก็รีบชี้แจงในทันที กรณี นางมัลลิกา บุญมีตระกูล ให้ข่าวระบุว่า กรมปศุสัตว์ไม่สามารถหาคำตอบได้กรณีบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่นำเข้าข้าวบาร์เลย์ 120,000 ตัน และแสดงกับศุลกากรว่าเป็นอาหาร (ฟู้ด) แต่แท้จริงเป็นวัตถุดิบทดแทนข้าวสาลีเพื่อทำอาหารสัตว์ นั้น นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต รักษาราชการอธิบดีกรมปศุสัตว์ ชี้แจงว่า การนำเข้าข้าวบาร์เลย์ สำหรับอาหารสัตว์ ปี 2561 มีการนำเข้า 2 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม รวม 125,380 ตัน ต้นทางจากออสเตรเลีย เข้าทางท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านการตรวจสอบและมีเอกสารยืนยันใช้ว่าใช้สำหรับอาหารสัตว์อย่างชัดเจน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ยังได้สุ่มตรวจสอบโรงงานอาหารสัตว์ที่นำข้าวบาร์เลย์ พบว่า มีการนำไปใช้ในสูตรอาหารสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนไว้ถูกต้อง ยังไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด
...เดี๋ยวนี้ข่าวกระแสมีเยอะ ขุนเกษตรา ได้ยินมาอยู่เรื่อยๆ มีทั้งเรื่องจริง เรื่องไม่จริง เรื่องจริงครึ่งเดียว แล้วแต่วัตถุประสงค์ของคนปล่อยข่าว บางคนหวังดี แต่บางคนมีบางอย่างแอบแฝง เมื่อผู้เกี่ยวข้องออกมาชี้แจง เบื้องต้นก็ต้องรับฟัง หากยังไม่มั่นใจก็ค่อยตรวจสอบกันต่อ แต่ต้องชัวร์ก่อนให้ข่าวนะครับ...
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี