ศาลอุทธรณ์พิพากษาประหารชีวิต อดีตผู้ใหญ่บ้านสีถาน ก่อเหตุข่มขืนฆ่า “น้องสโนว์” ครอบครัวร่ำไห้โฮหลังทราบคำตัดสิน ลั่นฟ้ามีตา ผู้บริสุทธิ์ไม่ตายฟรี ขอบคุณกระบวนการยุติธรรมให้ความเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมผู้พิพากษาศาลจังหวัดกาฬสินธุ์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ. 2112/2559 และ คดีหมายเลขแดงที่ อ.1381/2560 ที่โจทก์ พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ และ นางลำไย พลประสิทธ์ โจทก์ ร่วมที่ 1 ยื่นฟ้องนายกฤติเดช ระเวงวรรณ อดีตผู้ใหญ่บ้านสีถาน ต.ดงลิง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ ใช้กำลังประทุษร้าย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 ขณะน.ส.ฤดีวัลย์ พลประสิทธิ์ นักเรียนชั้น ม.6 อายุ 18 ปี หรือน้องสโนว์ ขี่รถจักรยานยนต์กลับจากเรียนหนังสือ ถึงที่เกิดเหตุถูกคนร้ายสะกดรอยขี่จักรยานยนต์ประกบและใช้เท้าถีบ และพยายามข่มขืนแต่น้องสโนว์ขัดขืน โดยกัดและบีบลูกอัณฑะจนหลีกหนีการข่มขืนได้ แต่เนื่องจากถูกทำร้ายอาการสาหัสจึงเสียชีวิต และก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นจังหวัดกาฬสินธุ์ตัดสินประหารชีวิตนายกฤติเดช ระเวงวรรณ จำเลย และให้ชดใช้ค่าสินไหม 2,390,000 บาท แต่จำเลยใช้สิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ปฏิเสธ
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศการฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ นายกฤษณ์-นางลำใย พลประสิทธิ์ พ่อและแม่น้องสโนว์พร้อมครอบครัว และเพื่อนบ้านเดินทางมาถึงตั้งแต่เวลา 08.45 น. โดยนายกฤษณ์ บิดากอดภาพถ่ายน้องสโนว์ไว้แนบตัวตลอดเวลา ส่วนนายกฤติเดชจำเลย ถูกนำตัวฝากขังที่เรือนจำคลองไผ่ จึงไม่ได้นำตัวมา แต่ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปแล้ว
ทั้งนี้ ผู้พิพากษาเริ่มอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์เวลา 10.45 น. ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงสาระสำคัญระบุว่า ส่วนจำเลยซึ่งยื่นอุทธรณ์มานั้น มีการนำสืบพยานแวดล้อมและประจักษ์พยาน รวมถึงการหาข้อโต้แย้งในส่วนหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยสรุปว่าไม่สามารถรับฟังได้ แต่ในส่วนของโจทก์ ถึงแม้ไม่มีประจักษ์พยานแน่ชัดแต่ปรากฏพยานแวดล้อมที่ให้การสอดคล้องกัน รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะรอยแผลที่นิ้วมือ ซึ่งเป็นฟันมนุษย์ และลูกอัณฑะ เป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ ที่ได้รับคำยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางนิติวิทยาศาสตร์ ศาลอุทธรณ์จึงตัดสินยืนโทษประหารชีวิต นายกฤติเดช จำเลย และให้ชดใช้ค่าสินไหม ตามศาลชั้นต้น
หลังศาลมีคำตัดสิน นางลำใย แม่น้องสโนว์ และญาติต่างร่ำไห้ด้วยความดีใจ พร้อมกล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม โดยนางลำไยกล่าวว่า หลังทราบคำตัดสิน รู้สึกหายเหนื่อย เพราะต่อสู้เพื่อลูกสาวมากว่า 2 ปีหรือ 935 วัน แม้หลังเกิดเหตุตนและครอบครัวทุกคนยังจำภาพติดตามาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเมื่อขับรถไปขายของผ่านจุดเกิดเหตุบริเวณริมถนนทางเข้าหมู่บ้าน ต้องปวดใจทุกครั้ง ทุกวันนี้ถ้าคิดถึงลูกก็จะดูภาพที่ติดไว้ข้างผนังบ้าน หรือเข้าไปดูภาพในเฟสบุ๊กของลูกสาว พร้อมเล่นเฟสบุ๊กแทนลูกสาวคอยโต้ตอบญาติ เพื่อนและประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวและคอยให้กำลังใจน้องสโนว์
นางลำใย กล่าวอีกว่า เรื่องราวดังกล่าวถือเป็นเคราะห์ร้ายและความโชคร้ายของครอบครัวพลประสิทธิ์ นอกจากสูญเสียน้องสโนว์แล้ว ยังเสียเงินที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิต เพราะต้องนำมาใช้จ่ายในงานศพ ในการสู้คดีจนหมด ต้องนำที่นาไปขาย ที่ทำกินไปจำนองขอกู้เงินจากธนาคารไปแล้วเกือบ 1 ล้านบาทมาเป็นค่าใช่จ่าย และเป็นทุนขายของ เนื่องจากช่วงเกิดเหตุครอบครัวยุ่งอยู่กับคดีไม่มีเวลาขายของ จึงไม่มีรายได้มาจุนเจือครอบครัว ถ้าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ น่าจะกำลังเรียนพยาบาลตามความฝัน แต่ก็บอกตัวเองว่าลูกสาวไปสู่สุขคติแล้ว แม่ไว้ทุกข์นุ่งขาวห่มขาวตลอดชีวิต และครอบครัวสู้ถึงที่สุด เพื่อให้ผู้ทำผิดรับโทษทางกฎหมายสูงสุด โดยเฉพาะโทษประหารชีวิต เพราะจะได้เป็นบทเรียนและไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
ด้านน.ส.ภัทรานิฐ พลประสิทธิ์ พี่สาวน้องสโนว์กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้กำลังใจครอบครัว และกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้ความยุติธรรมมีจริง ผู้บริสุทธิ์ไม่ตายฟรี ฟ้ามีตา ใครทำอะไรก็ได้รับผลกรรมแบบนั้น อยากบอกน้องสโนว์ว่าครอบครัวสู้เพื่อน้องมาตลอด ขณะนี้ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ไม่ต้องห่วงพี่จะดูแลพ่อกับแม่เอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี